ผมร่วงเกิดได้หลายสาเหตุ
1. ระคายเคืองหนังศีรษะ เช่น ใช้แชมพูเข้มข้นมากไป,แชมพูเป็นด่างมากไป,ครีมนวดผมอาจทำให้ระคายเคืองจนผมร่วง ควรงดใช้ครีมนวดชั่วคราว
2. ยารักษาโรคบางชนิด เช่นยาตับ ยาเบาหวาน ยารักษาโรคมะเร็ง
3. ภาวะภายในของร่างกาย เช่น ระดับออร์โมน,ความเครียด,อ่อนเพลีย,นอนดึก,ขาดสารอาหารบางชนิด เนื่องจากการลดน้ำหนัก
4. เชื้อรา หรือแบคทีเรียบนหนังศีรษะ
วันนี้แพรไหมนำบทความดีๆ เกี่ยวกับสมุนไพรรักษาผมร่วง ที่ทำเองได้ที่บ้านมาฝากกันค่ะ
สูตรที่ 1 เอา ขิงแก่ 1 แง่งขนาดเท่าฝ่ามือมาตำให้ละเอียดแล้วห่อผ้าขาวบางทำลูกประคบ จากนั้นเอาหม้อมา 1 ใบ ใส่น้ำและขึงผ้าขาวบางไว้ตรงปากหม้อ ต้มน้ำจนเดือดแล้วเอาขิงที่เราห่อผ้าขาวบางไว้มาวางบนปากหม้อ (ควรทำ 2 ห่อ เพื่อผลัดเปลี่ยนกัน) เมื่อน้ำเดือด ไอน้ำจะระเหยขึ้นปากหม้อทำให้ลูกประคบขิงมีความร้อน จากนั้นนำลูกประคบมาประคบบริเวณที่ผมร่วง พอเย็นเอากลับไปวางที่ปากหม้อเพื่อรมไอน้ำ แล้วเปลี่ยนอีกห่อมาประคบแทน ทำวันละ 2 ครั้งๆ ละ 20-30 นาที ประมาณ 3-5 วัน จะเห็นผล
สูตรที่ 2 กรณีผมจากสาเหตุ เชื้อราบนหนังศีรษะ ใช้ใบทองพันชั่งตำจนละเอียด ผสมน้ำพอเหนียว นำมาพอกบนศีรษะบริเวณที่ร่วง หลังจากสระผมเสร็จแล้ว จากนั้นใช้ผ้าคลุมไว้ทั้งคืน รุ่งเช้าล้างออก ทำติดต่อกัน 2 สัปดาห์ถึง 2 เดือน อาการผมร่วงจะดีขึ้นเพราะทองพันชั่งมีฤทธิ์ระงับเชื้อรา
สูตรที่ 3 นำมะกรูด 4 ผล ใส่หม้อแล้วต้มกับน้ำสักครู่ ใช้ไฟปานกลาง พอมะกรูดนิ่มๆ ยกลง จากนั้นผ่ามะกรูดครึ่งลูกทั้ง 4 ลูก นำไปคั้นเอาแต่น้ำมะกรูดแล้วใช้ผ้าขาวบางกรองน้ำมะกรูดใส่ภาชนะไว้ หลังจากสระผมให้สะอาดไม่ต้องสระผมด้วยแชมพูอีกแล้ว ให้ทำสัปดาห์ละ 2 ครั้ง สูตรนี้เหมาะสำหรับผมร่วงที่เกิดจากแชมพูเป็นด่างมากเกินไป
สูตรที่ 4 นำไข่ไก่เอาเฉพาะไข่แดง 1 ฟอง ผสมว่านหางจระเข้ที่ปอกเปลือกแล้วเอาแต่วุ้นปริมาณเท่าๆ กัน และน้ำมันมันมะกอก 5 ซีซี(ประมาณ 1 ช้อนชา) ปั่นให้เข้ากัน นำมาหมักผมทิ้งไว้ประมาณ 30 นาที ทำสัปหาด์ละครั้ง
สูตรที่ 5 ใช้ผักบุ้งหรือใบบัวบกมาตำคั้นน้ำ เอามาหมักผมประมาณ 2 นาที สูตรนี้ช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม
สูตรที่ 6 นำเหง้าขิงขนาดเท่าหัวแม่มือมาอังไฟให้อุ่นจัด แล้วนำไปบดให้ละเอียด จากนั้นก็นำมาทาให้ทั่วหนังศีรษะ น้ำมันในขิงจะช่วยกระตุ้นการงอกของเส้นผม ทำให้ผมที่ขึ้นมาใหม่มีความแข็งแรงด้วย
ข้อควรระวัง
การสระผมทุก ครั้งไม่ควรใช้เล็บเกาศีระษะ เพราะจะทำให้หนังศีรษะถลอกเกิดอาการแสบร้อนได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชโลมด้วยน้ำมะกรูด ให้ใช้ปลายนิ้วนวดจะดีที่สุด
นอก จากรักษาปัญหาผมร่วงด้วยสมุนไพรการดูแลสุขภาพภายในก็สำคัญเช่นเดียวกันรับ ประทานอาหารที่มีคุณค่าครบถ้วน นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ พยายามอย่านอนดึก ปัญหาเส้นผมของคุณก็จะหมดไปได้
ส่วนอันนี้แถมให้ค่ะ เป็นสูตรสำหรับคนที่อยากบำรุงผมด้วยสมุนไพร
คุณสามารถบำรุงผมได้ด้วยตนเอง โดยวิธีง่าย ๆ คือ
สูตรขจัดรังแคด้วยตะไคร้ หั่นตะไคร้ 3 – 4 ต้น เป็นชิ้นแล้วตำ คั้นน้ำมาใช้นวดทุกครั้งหลังสระผม ทิ้งไว้ 10 นาทีแล้วล้างออก
หรือใครต้องการแก้ผมร่วงด้วยฟ้าทลายโจร นำต้นมาต้มกับน้ำ ชโลมทิ้งไว้หลังสระผมสักครู่แล้วจึงล้างออก
สำหรับ คนผมแตกปลาย สามารถรักษาผมแห้งแตกปลายด้วยมะพร้าว นำกะทิที่ได้จากการคั่นเนื้อมะพร้าวไปเคี่ยวจนได้น้ำมัน ใช้นวดเส้นผม ทิ้งไว้ 15 นาทีแล้วจึงสระออก หรือจะใช้น้ำมันมะพร้าวสกัดเย็นที่มีขายอยู่ในท้องตลาดทุกวันนี้ก็ได้ค่ะ
ที่มา www.praemaiherbs.com
แนวทางการใช้สมุนไพรพื้นบ้านเพื่อสุขภาพ และการรักษาโรคเบื้องต้น
สมุนไพรแก้ผมร่วง
สมุนไพรแก้ท้องอืด
โรคกรดไหลย้อน ท้องอืด น้ำกะเพราช่วยท่านได้
สาเหตุที่ผมเป็นโรคท้องอืด กรดไหลย้อนและจุกเสียดในลำไส้ ผมคิดว่าเพราะเกิดจาก ช่วงก่อนหน้านี้หลายเดือน ผมทานยาคลายกล้ามเนื้อไป รวมประมาณเกือบ 30 แผงได้ (การทานยาคลายกล้ามเนื้อ คงทำให้ผนังกระเพาะอาหาร-ลำไส้บางลง) และในวันที่เป็นโรคท้องอืดนั้น ผมจำได้ว่า ยังทานยาคลายกล้ามเนื้ออยู่
วันที่ท้องอืดนั้น ผมทำงานอยู่ เพื่อนเขาเลยซื้อกาแฟปรุงสำเร็จมาให้จากร้านสะดวกซื้อ ตอนนั้นก็จะง่วงอยู่แล้ว (ง่วงจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อ) ผมเลยดื่มกาแฟเข้าไป ดื่มไปแล้ว รู้สึกว่ามันเข้มข้นมาก และในตอนนั้นก็เป็นเวลา 10.00 น. ซึ่งท้องผมว่างอยู่ (ดื่มกาแฟตอนท้องว่างเข้าไป เลยทำให้กระเพาะอาหารบวม แดงนี่เอง แม้ว่าวันนี้ ผมจะทานอาหารเช้า) ทำให้ผมท้องอืดขึ้นมา ผมปวดท้อง (แต่ไม่แสบท้อง) และท้องร้องป๊อกๆๆหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จในวันนั้นทันที และในตอนเย็นวันนั้น ผมไปซื้อยาบรรเทาอาการท้องอืดมาทาน แถมด้วยยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัว แต่ทานยาไปแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น
และก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้เครียด และไม่ได้ทานอาหารก่อนนอน (กินก่อนนอน)
ผมท้องอืดไปได้ประมาณ 5 วัน พยายามทานผักเพิ่มเข้าไปก็แล้ว ทานยาเคมีสังเคราะห์ต่างๆ เช่น ยาเม็ดช่วยย่อยอาหาร ยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัว ยาเม็ดเคี้ยวลดอาการท้องอืด จุก เสียดท้อง อาการก็ไม่ทุเลาเลย (ผมไม่ได้ทานยาลดการหลั่งของกรด เช่น Miracid เพราะผมไม่ได้เครียด) ผมจึงโทรไปหาเพื่อนที่เรียนธรรมด้วยกัน เขาก็ให้สูตรน้ำกะเพรามา (สูตรน้ำกะเพรานี้ ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์)
พอได้สูตรน้ำกะเพรา วันนั้นกลับบ้านดึก ตัดสินใจรีบไปซื้อกะเพราที่ห้างคาร์ฟูร์ตอน 21.30 น. กลับถึงบ้าน ประมาณ 22.00 น. รีบต้มน้ำกะเพราตามสูตร แต่ยังไม่ดื่ม
พอเอนตัวลงนอน สังเกตกระเพาะ ท้องร้องป๊อกๆๆๆๆ ทันที เลยดื่มน้ำกะเพราไป ปรากฏว่าไม่เกิน 10 – 15 นาที เรอเต็มๆ 1 ที แถมผายลม (ตด) แรงๆนานๆ (ประมาณ 3 วินาทีได้) อีก 1 ที พอเอนตัวลงนอนท้องหายร้องป๊อกๆๆๆๆๆแล้วครับ โดยไม่ต้องทานยาเคมีเข้าช่วยเลย ลองดื่มดูนะครับ
อาการของโรคท้องอืด กรดไหลย้อนโดยรวมของผมตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่เป็น
หลังรับประทานอาหารมีอาการจุกที่ลิ้นปี่ ท้องร้องป๊อกๆๆๆๆๆ ท้องโตโดยเมื่อกดท้องลงไปเหมือนกดลูกโป่ง (พูดขำๆ “เหมือนท้องเป็นลูกโป่ง”) เหมือนมีลมอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะเมื่อทานอาหารเผ็ดหรือเปรี้ยว ยิ่งจุกที่ลิ้นปีและท้องยิ่งโตมาก และหลังรับประทานอาหารประมาณ 2 ชม.ไปแล้ว ถ้าผมได้เดินหรือทำกิจกรรมอื่นๆ อาการท้องร้องป๊อกๆๆก็จะหายไป แต่ถ้ากลับมานั่งอาการท้องร้องป๊อกๆๆก็จะมีขึ้นมาอีก แต่อาการท้องร้องป๊อกๆๆ จะหายไปใน 4 – 6 ชม. บางครั้งจะมีอาการปวดแบบจุก เสียดที่ลำไส้ เหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารเย็น
อาการโดยรวมใน 1 สัปดาห์ มีอาการท้องผูกเล็กน้อย โดยถ่ายอุจจาระ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (ซึ่งคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ปกติจะขับถ่ายอุจจาระทุกวัน) อุจจาระแข็งและมีอาการท้องอืดเหมือนว่า “อาหารย่อยช้า” (ใช้เวลาในการย่อยนาน)
และช่วงที่เป็นนี้ไม่มีอาการเครียด ไม่มีอาการจุกที่คอ ไม่มีอาการแสบร้อนหน้าอก หรือหน่วงแน่นบริเวณหน้าอก ไม่มีอาการแสบท้องหรือร้อนท้อง ไม่มีอาการปวดเหมือนใครมาบิดลำไส้ (สงสัยคงเพิ่งเป็นครั้งแรก อาการเลยไม่หนักมาก ) แต่ในบางคืนก่อนนอนมีอาการเหมือนกรดไหลลอยมาที่คอ และในตอนกลางวันบางวันมีอาการเหมือนไอของกรดในกระเพาะอาหารลอยมาโดนคอ
อาการเตือนเบื้องต้นก่อนจะเป็นโรคท้องอืด (สังเกตจากตัวผมเอง)
1. มีอาการเรอหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ และเริ่มเหม็นเปรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ หรือเรอเมื่อยังไม่ได้ทานอาหาร (เรอก่อนทานอาหาร เรอขณะท้องว่าง)
2. ไม่มีการผายลมมาหลายวัน
3. เริ่มรู้สึกปวดท้องเล็กๆน้อยๆ หลังจากกินอาหารเสร็จ เริ่มจุกที่ลิ้นปี่
สูตรนี้ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ (ซึ่งผมฟังต่อๆกันมาจากเพื่อนๆอีกที)
วิธีทำน้ำกะเพรา
1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (แช่ 1 ช.ม.)หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก (ปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2553 ผมปลูกต้นกะเพราขาวและต้นกะเพราแดงไว้ที่หน้าบ้านด้วยครับ)
2. ใส่น้ำ 2 – 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งลำต้นและใบ
3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที ข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผม หากใช้ไฟอ่อนเกินไป ฤทธิ์ยาในกะเพราจะไม่ออกมา ควรกะปริมาณไฟที่ต้ม ให้น้ำเดือดภายใน 15 – 20 นาที
4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ)
5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลง หรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม เพื่อไว้ดื่มได้หลายๆวัน ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับคนธาตุเย็น อย่างเช่นตัวผมเอง ผมจะไม่ดื่มน้ำกะเพราเย็น แต่จะตั้งน้ำกะเพราทิ้งไว้ให้หายเย็นก่อน แล้วค่อยดื่ม เพราะหลังรับประทานอาหาร ถ้าผมดื่มน้ำเย็นหรือทานของเย็นๆ ผมจะท้องอืดอาหารไม่ย่อยครับ
ปล.
1. ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า
2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง
3. อาการหนักประมาณ 6 – 8 แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 – 2 แก้ว แต่ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน
4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย
ประโยชน์ของกะเพรา
กะเพราช่วยขับลม เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคในลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก (โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย)
น้ำกะเพราเหมาะสำหรับคนที่เป็นกรดไหลย้อนที่มีอาการท้องอืดร่วมด้วยเป็นประจำ
การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ และกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)
1. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์
2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ)
3. ไม่รับประทานอาหารมัน เช่น กล้วยแขก มันทอด ปอเปี๊ยะทอด และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ(ข้อนี้สำคัญ)
4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม (ข้อนี้สำคัญ)
5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด (ข้อนี้สำคัญ)
6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)
7. ควรรับประทานผัก เน้นเป็นผักต้ม (ผักสดควรรับประทานแต่น้อย) เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออกจุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)
8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง
9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง และไม่มีน้ำตาล ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป และห้ามทานฝรั่ง แตงโม แก้วมังกร มะเขือเทศโดยเด็ดขาด
10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ หรือ 3 นาทีต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)
11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ ครึ่ง – หนึ่งชั่วโมง
13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร (ข้อนี้สำคัญ)
14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว(ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
16. ทานอาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ ไม่ควรทานนมเปรี้ยวหรือโยเกริต์ เนื่องจากนมทำให้บางท่านท้องอืดได้
17. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น อย่างน้อย 2.0 – 3.0 กิโลเมตร หรือเดินในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)
18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ สหายธรรมของผมที่เป็นคนสูงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ทุกคนรักษาโรคนี้ด้วยการทานอาหารเป็นมื้อทั้งหมดทุกคนครับ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์
ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล – ซื้อสุขภาพจะดีกว่า เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เพียงพอแล้วครับ
สาเหตุที่ผมเป็นโรคท้องอืด กรดไหลย้อนและจุกเสียดในลำไส้ ผมคิดว่าเพราะเกิดจาก ช่วงก่อนหน้านี้หลายเดือน ผมทานยาคลายกล้ามเนื้อไป รวมประมาณเกือบ 30 แผงได้ (การทานยาคลายกล้ามเนื้อ คงทำให้ผนังกระเพาะอาหาร-ลำไส้บางลง) และในวันที่เป็นโรคท้องอืดนั้น ผมจำได้ว่า ยังทานยาคลายกล้ามเนื้ออยู่
วันที่ท้องอืดนั้น ผมทำงานอยู่ เพื่อนเขาเลยซื้อกาแฟปรุงสำเร็จมาให้จากร้านสะดวกซื้อ ตอนนั้นก็จะง่วงอยู่แล้ว (ง่วงจากการทานยาคลายกล้ามเนื้อ) ผมเลยดื่มกาแฟเข้าไป ดื่มไปแล้ว รู้สึกว่ามันเข้มข้นมาก และในตอนนั้นก็เป็นเวลา 10.00 น. ซึ่งท้องผมว่างอยู่ (ดื่มกาแฟตอนท้องว่างเข้าไป เลยทำให้กระเพาะอาหารบวม แดงนี่เอง แม้ว่าวันนี้ ผมจะทานอาหารเช้า) ทำให้ผมท้องอืดขึ้นมา ผมปวดท้อง (แต่ไม่แสบท้อง) และท้องร้องป๊อกๆๆหลังจากรับประทานอาหารกลางวันเสร็จในวันนั้นทันที และในตอนเย็นวันนั้น ผมไปซื้อยาบรรเทาอาการท้องอืดมาทาน แถมด้วยยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัว แต่ทานยาไปแล้วอาการก็ยังไม่ดีขึ้น
และก่อนหน้านี้ ผมไม่ได้เครียด และไม่ได้ทานอาหารก่อนนอน (กินก่อนนอน)
ผมท้องอืดไปได้ประมาณ 5 วัน พยายามทานผักเพิ่มเข้าไปก็แล้ว ทานยาเคมีสังเคราะห์ต่างๆ เช่น ยาเม็ดช่วยย่อยอาหาร ยาก่อนอาหารช่วยให้ลำไส้เคลื่อนตัว ยาเม็ดเคี้ยวลดอาการท้องอืด จุก เสียดท้อง อาการก็ไม่ทุเลาเลย (ผมไม่ได้ทานยาลดการหลั่งของกรด เช่น Miracid เพราะผมไม่ได้เครียด) ผมจึงโทรไปหาเพื่อนที่เรียนธรรมด้วยกัน เขาก็ให้สูตรน้ำกะเพรามา (สูตรน้ำกะเพรานี้ ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์)
พอได้สูตรน้ำกะเพรา วันนั้นกลับบ้านดึก ตัดสินใจรีบไปซื้อกะเพราที่ห้างคาร์ฟูร์ตอน 21.30 น. กลับถึงบ้าน ประมาณ 22.00 น. รีบต้มน้ำกะเพราตามสูตร แต่ยังไม่ดื่ม
พอเอนตัวลงนอน สังเกตกระเพาะ ท้องร้องป๊อกๆๆๆๆ ทันที เลยดื่มน้ำกะเพราไป ปรากฏว่าไม่เกิน 10 – 15 นาที เรอเต็มๆ 1 ที แถมผายลม (ตด) แรงๆนานๆ (ประมาณ 3 วินาทีได้) อีก 1 ที พอเอนตัวลงนอนท้องหายร้องป๊อกๆๆๆๆๆแล้วครับ โดยไม่ต้องทานยาเคมีเข้าช่วยเลย ลองดื่มดูนะครับ
อาการของโรคท้องอืด กรดไหลย้อนโดยรวมของผมตลอดระยะเวลา 1 เดือนที่เป็น
หลังรับประทานอาหารมีอาการจุกที่ลิ้นปี่ ท้องร้องป๊อกๆๆๆๆๆ ท้องโตโดยเมื่อกดท้องลงไปเหมือนกดลูกโป่ง (พูดขำๆ “เหมือนท้องเป็นลูกโป่ง”) เหมือนมีลมอยู่ในกระเพาะอาหารและลำไส้ โดยเฉพาะเมื่อทานอาหารเผ็ดหรือเปรี้ยว ยิ่งจุกที่ลิ้นปีและท้องยิ่งโตมาก และหลังรับประทานอาหารประมาณ 2 ชม.ไปแล้ว ถ้าผมได้เดินหรือทำกิจกรรมอื่นๆ อาการท้องร้องป๊อกๆๆก็จะหายไป แต่ถ้ากลับมานั่งอาการท้องร้องป๊อกๆๆก็จะมีขึ้นมาอีก แต่อาการท้องร้องป๊อกๆๆ จะหายไปใน 4 – 6 ชม. บางครั้งจะมีอาการปวดแบบจุก เสียดที่ลำไส้ เหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหารเย็น
อาการโดยรวมใน 1 สัปดาห์ มีอาการท้องผูกเล็กน้อย โดยถ่ายอุจจาระ 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ (ซึ่งคนที่มีสุขภาพแข็งแรง ปกติจะขับถ่ายอุจจาระทุกวัน) อุจจาระแข็งและมีอาการท้องอืดเหมือนว่า “อาหารย่อยช้า” (ใช้เวลาในการย่อยนาน)
และช่วงที่เป็นนี้ไม่มีอาการเครียด ไม่มีอาการจุกที่คอ ไม่มีอาการแสบร้อนหน้าอก หรือหน่วงแน่นบริเวณหน้าอก ไม่มีอาการแสบท้องหรือร้อนท้อง ไม่มีอาการปวดเหมือนใครมาบิดลำไส้ (สงสัยคงเพิ่งเป็นครั้งแรก อาการเลยไม่หนักมาก ) แต่ในบางคืนก่อนนอนมีอาการเหมือนกรดไหลลอยมาที่คอ และในตอนกลางวันบางวันมีอาการเหมือนไอของกรดในกระเพาะอาหารลอยมาโดนคอ
อาการเตือนเบื้องต้นก่อนจะเป็นโรคท้องอืด (สังเกตจากตัวผมเอง)
1. มีอาการเรอหลังรับประทานอาหารเสร็จใหม่ๆ และเริ่มเหม็นเปรี้ยวขึ้นเรื่อยๆ หรือเรอเมื่อยังไม่ได้ทานอาหาร (เรอก่อนทานอาหาร เรอขณะท้องว่าง)
2. ไม่มีการผายลมมาหลายวัน
3. เริ่มรู้สึกปวดท้องเล็กๆน้อยๆ หลังจากกินอาหารเสร็จ เริ่มจุกที่ลิ้นปี่
สูตรนี้ได้มาจาก นพ.เปี่ยมโชค ชลิดาพงศ์ (ซึ่งผมฟังต่อๆกันมาจากเพื่อนๆอีกที)
วิธีทำน้ำกะเพรา
1. นำกะเพรา 1 กำ (ทั้งลำต้นและใบ) ประมาณ 1 ขีด มาล้างให้สะอาดด้วยน้ำจุลินทรีย์ EM (แช่ 1 ช.ม.)หรือน้ำยาล้างผักเพื่อล้างยาฆ่าแมลงออก (ปัจจุบันนี้ พ.ศ. 2553 ผมปลูกต้นกะเพราขาวและต้นกะเพราแดงไว้ที่หน้าบ้านด้วยครับ)
2. ใส่น้ำ 2 – 3 ลิตรลงในหม้อ นำกะเพราใส่ลงไปทั้งหมด ทั้งลำต้นและใบ
3. ปิดฝาหม้อ ใช้ไฟปานกลางค่อนข้างอ่อน ต้มประมาณ 15 – 20 นาที พอน้ำเดือดปุ๊บให้ปิดแก๊สทันที ข้อมูลเพิ่มเติมจากประสบการณ์ของผม หากใช้ไฟอ่อนเกินไป ฤทธิ์ยาในกะเพราจะไม่ออกมา ควรกะปริมาณไฟที่ต้ม ให้น้ำเดือดภายใน 15 – 20 นาที
4. ดื่มหลังอาหาร 1 แก้ว 250 ml (อ่านตรง ปล. ต่อ)
5. ถ้าน้ำกะเพราเย็นลง หรือ ดื่มไม่หมด ไม่ต้องอุ่นหรือต้มซ้ำ ให้แช่เย็นไว้ดื่ม เพื่อไว้ดื่มได้หลายๆวัน ข้อมูลเพิ่มเติม สำหรับคนธาตุเย็น อย่างเช่นตัวผมเอง ผมจะไม่ดื่มน้ำกะเพราเย็น แต่จะตั้งน้ำกะเพราทิ้งไว้ให้หายเย็นก่อน แล้วค่อยดื่ม เพราะหลังรับประทานอาหาร ถ้าผมดื่มน้ำเย็นหรือทานของเย็นๆ ผมจะท้องอืดอาหารไม่ย่อยครับ
ปล.
1. ถ้าใช้กะเพราแดงจะได้ผลดีกว่า
2. จำไว้ว่า กะเพราเป็นสมุนไพรธาตุร้อน ถ้าดื่มน้ำกะเพราไปแล้วเกิดอาการร้อนใน ให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง
3. อาการหนักประมาณ 6 – 8 แก้ว และหลังจากวันแรกที่ดื่ม ถ้าอาการทุเลาให้ลดปริมาณน้ำกะเพราลง ดื่มเฉพาะหลังอาหาร มื้อละ 1 – 2 แก้ว แต่ไม่ควรเกิน 4 แก้วต่อวัน
4. ยาสมุนไพรไทย ใช้เวลารักษานานถึงจะหาย ต้องกินเป็นประจำสม่ำเสมอ โดยไม่ต้องทานยาเคมีสังเคราะห์เข้าช่วยเลย
ประโยชน์ของกะเพรา
กะเพราช่วยขับลม เป็น Buffer ปรับสมดุลกรดในกระเพาะอาหาร ช่วยเร่งการย่อยอาหาร ได้ผลดีเยี่ยมกับคนที่เป็นโรคในลำไส้เล็ก เช่น จุกเสียดในลำไส้เล็ก (โรคนี้เวลาเป็นเหมือนถูกแทงด้วยหลาว นั่งอยู่ดีๆก็เจ็บเหมือนถูกแทง หรือถูกต่อย)
น้ำกะเพราเหมาะสำหรับคนที่เป็นกรดไหลย้อนที่มีอาการท้องอืดร่วมด้วยเป็นประจำ
การดูแลตนเองสำหรับผู้ที่มีอาการท้องอืด จุก เสียด แน่นเฟ้อ และกรดไหลย้อน (ข้อมูลนี้ได้มาจากประสบการณ์ของผู้ป่วย)
1. รับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ ไม่ทานลูกอมรสต่างๆ เช่น รสเปรี้ยว ที่ผสมสารสังเคราะห์
2. ไม่รับประทานอาหารที่มีรสเผ็ดและเปรี้ยว แม้เพียงเล็กน้อย (ข้อนี้สำคัญ)
3. ไม่รับประทานอาหารมัน เช่น กล้วยแขก มันทอด ปอเปี๊ยะทอด และของหมักดอง เช่น ผลไม้ดองต่างๆ(ข้อนี้สำคัญ)
4. ไม่ควรรับประทานอาหารรสหวาน ที่มีน้ำตาลปริมาณมาก เช่น ขนมหวาน, น้ำหวาน, น้ำอัดลม (ข้อนี้สำคัญ)
5. งดดื่มเหล้า และสูบบุหรี่ ชาและกาแฟก็ควรงด (ข้อนี้สำคัญ)
6. ไม่รับประทานอาหารประเภทเนื้อสัตว์เป็นจำนวนมาก ควรทานเนื้อปลา หรือถั่ว (ข้อนี้สำคัญ)
7. ควรรับประทานผัก เน้นเป็นผักต้ม (ผักสดควรรับประทานแต่น้อย) เพื่อให้มีการขับถ่าย ไล่ลมออกจุลินทรีย์ได้ทำงาน (ข้อนี้สำคัญ)
8. ไม่ควรรับประทานผลไม้ประเภทย่อยยาก เช่น ฝรั่ง, มะม่วง
9. ควรทานผลไม้ประเภทย่อยง่าย และมีกากใยสูง และไม่มีน้ำตาล ผลไม้ที่แนะนำ เช่น ส้ม ชมพู่ แตงไทย แคนตาลูป และห้ามทานฝรั่ง แตงโม แก้วมังกร มะเขือเทศโดยเด็ดขาด
10. เคี้ยวอาหารให้ละเอียด ประมาณ 100-200 ครั้งต่อ 1 คำ หรือ 3 นาทีต่อ 1 คำ (ข้อนี้ช่วยได้มาก)
11. ไม่รับประทานอาหารจนเต็มกระเพาะอาหาร (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
12. ใช้เวลารับประทานอาหารในแต่ละมื้อประมาณ ครึ่ง – หนึ่งชั่วโมง
13. หลังรับประทานอาหารเสร็จ ให้ดื่มน้ำเปล่าแต่น้อย หลังจากนั้นอีกประมาณ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมงให้ดื่มน้ำกะเพรา เพราะน้ำกะเพราจะช่วยขับลม และช่วยเร่งการย่อยอาหาร (ข้อนี้สำคัญ)
14. แกว่งแขนหลังรับประทานอาหารเสร็จในแต่ละมื้อ ช่วยให้กระเพาะอาหารและลำไส้มีการเคลื่อนไหว(ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
15. ตอนเย็นให้รับประทานอาหารย่อยง่ายๆเท่านั้น เช่น โจ๊ก, ข้าวต้ม (ข้อนี้สำคัญมากๆเช่นกัน)
16. ทานอาหารเสริมประเภทเพิ่มจุลินทรีย์ในลำไส้ ไม่ควรทานนมเปรี้ยวหรือโยเกริต์ เนื่องจากนมทำให้บางท่านท้องอืดได้
17. ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เช่น วิ่งทุกเช้า หรือวิ่งในช่วงเย็น อย่างน้อย 2.0 – 3.0 กิโลเมตร หรือเดินในช่วงเย็น เพื่อให้ลำไส้มีการเคลื่อนไหว (ข้อนี้สำคัญ)
18. อดทนในเรื่องไม่ทานอาหารจุกจิก ไม่เป็นเวลา ไม่เป็นมื้อ สหายธรรมของผมที่เป็นคนสูงอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป ทุกคนรักษาโรคนี้ด้วยการทานอาหารเป็นมื้อทั้งหมดทุกคนครับ (ข้อนี้สำคัญเช่นกัน)
19. ท่องไว้ในใจเสมอว่า “การไม่มีโรค เป็นลาภอันประเสริฐ” มีเงินทำไม ถ้าไม่ได้ใช้เงินให้เกิดประโยชน์
ถ้าเป็นโรค ใช้เวลาและเงินดูแล – ซื้อสุขภาพจะดีกว่า เช่น ออกกำลังกาย ทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่ ก็เพียงพอแล้วครับ
สมุนไพรแก้ท้องเสีย
สมุนไพร (Herbs) แก้อาการท้องเสีย ฟ้าทะลายโจรและมังคุด
สมุนไพร(Herbs) แก้อาการท้องเสียมีหลายชนิด นอกจากกล้วยน้ำว้า ทับทิมและฝรั่งแล้วยังมีสมุนไพรที่ใช้แก้อาการท้องเสียได้ดีไม่แพ้กันนั่นคือ สมุนไพรฟ้าทะลายโจรและมังคุด โดยเฉพาะสมุนไพรฟ้าทะลายโจรสามารถทำเป็นยาแก้ท้องเสียได้หลายแบบทั้งเป็นยาลูกกลอน ยาดองเหล้าหรือบรรจุแคปซูล คุณสมบัติสำคัญของสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการท้องเสียคือมีสารแทนนิน(Tannin) ที่มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสียได้ดี

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (Kariyat,Creat) มีคุณสมบัติใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย โรคอุจจาระร่วงและบิดไม่มีตัว วิธีการเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 1 คือการทำเป็นยาลูกกลอน ให้นำใบฟ้าทะลายโจร(สด) มาล้างให้สะอาด ตากแดดทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นนำไปบดให้ละเอียดแล้วผสมน้ำผึ้งลงไปให้พอปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย ใช้กินก่อนอาหารครั้งละ 3-4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง(เช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน)
การเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 2 คือการดองด้วยเหล้าขาว โดยใช้ใบฟ้าทะลายโจรที่ล้างและตากแดดจนแห้งแล้ว ใส่ขวดโหลแล้วเติมเหล้าขาวให้พอท่วมยาเล็กน้อย ทิ้งไว้จนครบ 1 อาทิตย์(ให้คนยาวันละครั้ง) แล้วกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมากินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหาร ส่วนสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 3 คือแบบบรรจุเป็นเม็ดแคปซูล โดยนำใบและลำต้นฟ้าทะลายโจรมาล้างและตากแดดให้แห้งแล้วบดให้ละเอียดเป็นผงจากนั้นบรรจุในแคปซูล ใช้รักษาอาการท้องเสียโดยกินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง
การใช้มังคุด (Mangosteen) ที่เป็นเปลือกผลแห้งเป็นสมุนไพรรักษาอาการท้องเสีย เปลือกมังคุดจะมีรสฝาด(มีสารแทนนิน)ให้นำเปลือกมังคุดตากแดดให้แห้งแล้วนำมาต้มกับน้ำปูนใสหรือฝนกับน้ำต้มสุกก็ได้ หากต้องการใช้เปลือกมังคุดบรรเทาอาการบิดคือ ปวดเบ่งและมีมูก บางทีอาจมีเลือดปนออกมากับอุจจาระด้วย ให้ใช้เปลือกมังคุดแห้งประมาณครึ่งลูกไปย่างไฟให้เกรียมแล้วฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว ใช้ดื่มทุก 2 ชั่วโมงแก้อาการปวดบิดได้
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรคือ การมีฤทธิ์ลดความดันเลือดจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันต่ำ ยาสมุนไพรแก้ท้องเสียที่เป็นยาลูกกลอนหรือยาดองเหล้าไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 3 เดือนและการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรอาจเกิดอาการข้างเคียงได้(แต่น้อยมาก) เช่น อาเจียนเป็นน้ำใส ไม่สบายท้อง ปวดท้อง ปวดหัว ปวดเอว หากเกิดอาการเหล่านี้ควรหยุดใช้ยาสมุนไพรทันที.
สมุนไพร(Herbs) แก้อาการท้องเสียมีหลายชนิด นอกจากกล้วยน้ำว้า ทับทิมและฝรั่งแล้วยังมีสมุนไพรที่ใช้แก้อาการท้องเสียได้ดีไม่แพ้กันนั่นคือ สมุนไพรฟ้าทะลายโจรและมังคุด โดยเฉพาะสมุนไพรฟ้าทะลายโจรสามารถทำเป็นยาแก้ท้องเสียได้หลายแบบทั้งเป็นยาลูกกลอน ยาดองเหล้าหรือบรรจุแคปซูล คุณสมบัติสำคัญของสมุนไพรที่ใช้รักษาอาการท้องเสียคือมีสารแทนนิน(Tannin) ที่มีฤทธิ์แก้อาการท้องเสียได้ดี

สมุนไพรฟ้าทะลายโจร (Kariyat,Creat) มีคุณสมบัติใช้เป็นยาแก้ท้องเสีย โรคอุจจาระร่วงและบิดไม่มีตัว วิธีการเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 1 คือการทำเป็นยาลูกกลอน ให้นำใบฟ้าทะลายโจร(สด) มาล้างให้สะอาด ตากแดดทิ้งไว้ให้แห้ง จากนั้นนำไปบดให้ละเอียดแล้วผสมน้ำผึ้งลงไปให้พอปั้นเป็นยาลูกกลอนขนาดเม็ดเท่าปลายนิ้วก้อย ใช้กินก่อนอาหารครั้งละ 3-4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง(เช้า-กลางวัน-เย็น-ก่อนนอน)
การเตรียมสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 2 คือการดองด้วยเหล้าขาว โดยใช้ใบฟ้าทะลายโจรที่ล้างและตากแดดจนแห้งแล้ว ใส่ขวดโหลแล้วเติมเหล้าขาวให้พอท่วมยาเล็กน้อย ทิ้งไว้จนครบ 1 อาทิตย์(ให้คนยาวันละครั้ง) แล้วกรองเอาแต่ส่วนที่เป็นน้ำมากินครั้งละ 2 ช้อนโต๊ะ ก่อนอาหาร ส่วนสมุนไพรฟ้าทะลายโจรแบบที่ 3 คือแบบบรรจุเป็นเม็ดแคปซูล โดยนำใบและลำต้นฟ้าทะลายโจรมาล้างและตากแดดให้แห้งแล้วบดให้ละเอียดเป็นผงจากนั้นบรรจุในแคปซูล ใช้รักษาอาการท้องเสียโดยกินครั้งละ 2 เม็ด วันละ 2-3 ครั้ง
การใช้มังคุด (Mangosteen) ที่เป็นเปลือกผลแห้งเป็นสมุนไพรรักษาอาการท้องเสีย เปลือกมังคุดจะมีรสฝาด(มีสารแทนนิน)ให้นำเปลือกมังคุดตากแดดให้แห้งแล้วนำมาต้มกับน้ำปูนใสหรือฝนกับน้ำต้มสุกก็ได้ หากต้องการใช้เปลือกมังคุดบรรเทาอาการบิดคือ ปวดเบ่งและมีมูก บางทีอาจมีเลือดปนออกมากับอุจจาระด้วย ให้ใช้เปลือกมังคุดแห้งประมาณครึ่งลูกไปย่างไฟให้เกรียมแล้วฝนกับน้ำปูนใสประมาณครึ่งแก้ว ใช้ดื่มทุก 2 ชั่วโมงแก้อาการปวดบิดได้
ข้อควรระวังในการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรคือ การมีฤทธิ์ลดความดันเลือดจึงไม่ควรใช้กับผู้ป่วยที่มีความดันต่ำ ยาสมุนไพรแก้ท้องเสียที่เป็นยาลูกกลอนหรือยาดองเหล้าไม่ควรเก็บไว้นานเกิน 3 เดือนและการใช้สมุนไพรฟ้าทะลายโจรอาจเกิดอาการข้างเคียงได้(แต่น้อยมาก) เช่น อาเจียนเป็นน้ำใส ไม่สบายท้อง ปวดท้อง ปวดหัว ปวดเอว หากเกิดอาการเหล่านี้ควรหยุดใช้ยาสมุนไพรทันที.
สมุนไพรแก้เจ็บคอ
ไอหรือเจ็บคอ เป็นอีกอาการหนึ่งที่มักเป็นควบคู่กับไข้วัด เมื่อเป็นแล้วจะรู้สึกทรมานมาก ทั้งก่อให้เกิดอาการไอจนนอนไม่หลับ แต่การไอเป็นกลไกหนึ่งของร่างกายที่จะช่วยขับสิ่งแปลกปลอมที่ติดอยู่ในระบบหายใจ ซึ่งก็คือเสมหะนั่นเอง สาเหตุที่สำคัญคือ การติดเชื้อจากเชื้อแบคทีเรียและเชื้อไวรัส ถ้าไอเรื้อรังไม่หายสักที ก็อาจเกิดจากหลายสาเหตุ
อาการไอ มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบไอแห้ง จะไม่มีเสมหะ เกิดจากการระคายเคืองหรือคันบริเวณลำคอ ซึ่งอาจเกิดจากเศษอาหารเล็กๆ ฝุ่น ควันกลิ่นฉุน บุหรี่ หรืออาการเย็น โรคหืด ไอแห้งแบบไม่มีเสมหะนี้ อาจมีอาการเสียงแหบแห้งร่วมด้วย อาการไอแบบนี้รักษาหายยาก
ส่วนการไอแบบมีเสมหะเป็นอาการไอที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เกิดการติดเชื้อไข้หวัด จากไวรัส ภูมิแพ้ น้ำมูกลงคอ ถ้ามีเสมหะใสๆ ไม่มีสีร่วมด้วยก็ยังไม่ถึงขั้นมีการติดเชื้อ ใช้ยาพวกขับเสมหะได้ แต่ถ้าไอแบบมีเสมหะเหนียวข้นเป็นสีเหลืองจนถึงเขียว แสดงถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้องใช้ยาปฏิชีวนะช่วยด้วย เช่น ฟ้าทะลายโจร จะได้ผลดีแต่ในกรณีที่มีเสมหะเป็นสีชมพูหรือสีแดง ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคปอด เช่น ปอดชื้น หรือน้ำท่วมปอด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
ในทางการแพทย์แผนไทยมีการใช้ตัวยาหลายรสในการรักษาอาการไอเจ็บคอ เนื่องจากไข้หวัด เช่น ใช้รสเปรี้ยว รสขม รสหวาน ยาที่ใช้รักษามีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ยาแก้ไอที่ทำให้ชุ่มชื่นลำคอ พวกนี้จะมีรสหวานช่วยกระตุ้นให้เกิดเสมหะเพื่อขับออกมาได้ง่าย หรือยาสมุนไพรกลุ่มที่มีรสเปรี้ยว ช่วยลดอาการไอและขับเสมหะ ซึ่งจำแนกดังนี้
- กลุ่มที่มีสารสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย ได้แก่พวกรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง กระเทียม ดีปลี
- กลุ่มที่มีสารสำคัญเป็นกรด คือ รสเปรี้ยว ตามสรรพคุณ ยาไทย รสเปรี้ยวบำรุงธาตุน้ำ กัดเสมหะ ฟอกโลหิต ได้แก่ มะนาว มะขามป้อม รสเปรี้ยว มีกรดอินทรีย์ที่สำคัญ ได้แก่ วิตามินซี
- กลุ่มที่มีสารรสขม ได้แก่ มะแว้งเครือ มะแว้งต้น เพกา
- กลุ่มที่มีสารรสหวาน ได้แก่ ชะเอมเทศ
- กลุ่มที่มีสารรสอื่นๆ เช่น มะเขือขื่น
จะเห็นว่ามีการใช้สมุนไพรที่มีหลายรส กรณีที่ใช้กลุ่มที่มีน้ำมันหอมระเหยนั้นใช้ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอร่วมด้วย กลุ่มนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ สมุนไพรที่เหมาะสำหรับการใช้ส่งเสริมดูแลสุขภาพ เช่น
กระเทียม แก้เจ็บคอและรักษาทอนซิลอักเสบ เอากระเทียมทุบบุบๆ คั้นเอาน้ำกระเทียมผสมกับน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย ใช้กลั้วคอ ในกระเทียมมีสารอัลซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะช่วยในการฆ่าเชื้อ รักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แก้ไอ
มะขามป้อม ใช้ผลสด รสเปรี้ยวอมฝาด แก้ไอ ช่วยขับเสมหะ โดยเอาผลแก่จิ้มเกลือรับประทาน หรือเอาผลแก่ต้มน้ำ รินเอาแต่น้ำดื่ม หรือเนื้อผลแก่สด 2-3 ผล โขลกให้แหลก เหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง ช่วยแก้ไอเรื้อรังได้ดี
มะแว้งเครือ-มะแว้งต้น รสขมขื่นเปรี้ยว แก้ไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะให้เอาผลแก่สด 5-10 ลูก โขลกพอแหลก คั้นเอาน้ำ แทรกเกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดสัก 1-2 ลูก เคี้ยวกลืนทั้งเนื้อและน้ำ กินบ่อยๆ จนอาการดีขึ้น
มะเขือขื่น ใช้ราก รสเอียนขื่นเปรี้ยว เป็นยาขับเสมหะและน้ำลาย แก้ไอ กระทุ้งพิษไข้ แก้เสมหะ ขับเสมหะแก้เสมหะ โดยเอาส่วนของรากแช่กับน้ำสะอาด จิบดื่มเรื่อยๆ ใช้แก้ไอเรื้อรังหรือแก้ไอที่มีอาการไอมากๆ ได้ผลดี (แช่วันแรก - 2 วัน น้ำยาจะรสชาติยังจืด แต่หลังจาก 3 วันแล้วตัวยาจะมีรสขมมาก ใช้ไปจนอาการไอหาย)
ชะเอมเทศ ใช้ราก รสหวานขมชุ่ม แก้น้ำลายเหนียว แก้ไอ ทำเสมหะให้งวด ช่วยให้ชุ่มคอ บำรุงปอด ใช้รากชะเอมเทศ 5 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ข้อควรระวัง ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ผู้ป่วยที่โลหิตมีโปแทสเซียมต่ำมากหรือน้อยเกินไป หรือผู้ป่วยโรคไตบกพร่องเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์
หนุมานประสานกาย ใบ รสหอมเผ็ดปร่าขมฝาดเล็กน้อย แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้ปอดอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้เส้นเลือดในสมองแตก ใช้ใบสดเล็กๆ 9 ใบ ต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า-เย็น รักษาโรคหืด แพ้อากาศ ขับเสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบหรือใช้ใบสดขนาดเพสลาด สัก 3-5 ใบ ล้างให้สะอาด เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลื่นเอาแต่น้ำ หรือคั้นเอาน้ำดื่มก็ได้ ช่วยแก้ไอได้ดี
ยาอำมฤควาที ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไอแห้งๆ ระคายคอ แต่ไม่มีอาการเจ็บคอ ใช้ยาอัมฤควาทีช่วยลดอาการระคายเคืองเนื่องจากเสมหะข้นเหนียว ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอคือมีการติดเชื้อร่วมด้วย ต้องใช้ร่วมกับยาตัวอื่น เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้เสมหะไม่เหนียวข้น เสมหะจะอ่อนตัวและหลุดออกมาได้ง่าย
ยาประสะมะแว้ง ยานี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการไอมีเสมหะมาก ประสะมะแว้งจะช่วยกำจัดเสมหะออกได้ดี ในกรณีที่รับประทานกับมะนาวแทรกเกลือต้องรับประทานทันที เพราะจะได้วิตามินซีด้วย ซึ่งจะช่วยลดไข้ได้เร็ว ช่วยขับเสมหะ ทำให้เสมหะค่อยๆ ลดลง
ในผู้ป่วยบางรายที่ไอแล้วมีเลือดปนออกมาเล็กน้อย เมื่อรับประทานประสะมะแว้งแล้วอาการจะดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้มะนาว ให้ใช้เกลืออย่างเดียว.
Source : www.thaipost.net
อาการไอ มีอยู่ 2 แบบ คือ แบบไอแห้ง จะไม่มีเสมหะ เกิดจากการระคายเคืองหรือคันบริเวณลำคอ ซึ่งอาจเกิดจากเศษอาหารเล็กๆ ฝุ่น ควันกลิ่นฉุน บุหรี่ หรืออาการเย็น โรคหืด ไอแห้งแบบไม่มีเสมหะนี้ อาจมีอาการเสียงแหบแห้งร่วมด้วย อาการไอแบบนี้รักษาหายยาก
ส่วนการไอแบบมีเสมหะเป็นอาการไอที่พบได้บ่อยที่สุด ส่วนใหญ่เกิดการติดเชื้อไข้หวัด จากไวรัส ภูมิแพ้ น้ำมูกลงคอ ถ้ามีเสมหะใสๆ ไม่มีสีร่วมด้วยก็ยังไม่ถึงขั้นมีการติดเชื้อ ใช้ยาพวกขับเสมหะได้ แต่ถ้าไอแบบมีเสมหะเหนียวข้นเป็นสีเหลืองจนถึงเขียว แสดงถึงการติดเชื้อแบคทีเรีย ต้องใช้ยาปฏิชีวนะช่วยด้วย เช่น ฟ้าทะลายโจร จะได้ผลดีแต่ในกรณีที่มีเสมหะเป็นสีชมพูหรือสีแดง ต้องรีบพบแพทย์โดยด่วน เพราะอาจมีปัญหาเกี่ยวกับโรคปอด เช่น ปอดชื้น หรือน้ำท่วมปอด ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้
ในทางการแพทย์แผนไทยมีการใช้ตัวยาหลายรสในการรักษาอาการไอเจ็บคอ เนื่องจากไข้หวัด เช่น ใช้รสเปรี้ยว รสขม รสหวาน ยาที่ใช้รักษามีการออกฤทธิ์ที่แตกต่างกัน ตัวอย่างเช่น ยาแก้ไอที่ทำให้ชุ่มชื่นลำคอ พวกนี้จะมีรสหวานช่วยกระตุ้นให้เกิดเสมหะเพื่อขับออกมาได้ง่าย หรือยาสมุนไพรกลุ่มที่มีรสเปรี้ยว ช่วยลดอาการไอและขับเสมหะ ซึ่งจำแนกดังนี้
- กลุ่มที่มีสารสำคัญเป็นน้ำมันหอมระเหย ได้แก่พวกรสเผ็ดร้อน ได้แก่ ขิง กระเทียม ดีปลี
- กลุ่มที่มีสารสำคัญเป็นกรด คือ รสเปรี้ยว ตามสรรพคุณ ยาไทย รสเปรี้ยวบำรุงธาตุน้ำ กัดเสมหะ ฟอกโลหิต ได้แก่ มะนาว มะขามป้อม รสเปรี้ยว มีกรดอินทรีย์ที่สำคัญ ได้แก่ วิตามินซี
- กลุ่มที่มีสารรสขม ได้แก่ มะแว้งเครือ มะแว้งต้น เพกา
- กลุ่มที่มีสารรสหวาน ได้แก่ ชะเอมเทศ
- กลุ่มที่มีสารรสอื่นๆ เช่น มะเขือขื่น
จะเห็นว่ามีการใช้สมุนไพรที่มีหลายรส กรณีที่ใช้กลุ่มที่มีน้ำมันหอมระเหยนั้นใช้ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอร่วมด้วย กลุ่มนี้จะช่วยฆ่าเชื้อโรคได้ สมุนไพรที่เหมาะสำหรับการใช้ส่งเสริมดูแลสุขภาพ เช่น
กระเทียม แก้เจ็บคอและรักษาทอนซิลอักเสบ เอากระเทียมทุบบุบๆ คั้นเอาน้ำกระเทียมผสมกับน้ำอุ่นและเกลือเล็กน้อย ใช้กลั้วคอ ในกระเทียมมีสารอัลซิลิน เป็นยาปฏิชีวนะช่วยในการฆ่าเชื้อ รักษาการติดเชื้อในระบบทางเดินหายใจ แก้ไอ
มะขามป้อม ใช้ผลสด รสเปรี้ยวอมฝาด แก้ไอ ช่วยขับเสมหะ โดยเอาผลแก่จิ้มเกลือรับประทาน หรือเอาผลแก่ต้มน้ำ รินเอาแต่น้ำดื่ม หรือเนื้อผลแก่สด 2-3 ผล โขลกให้แหลก เหยาะเกลือเล็กน้อย ใช้อมหรือเคี้ยววันละ 3-4 ครั้ง ช่วยแก้ไอเรื้อรังได้ดี
มะแว้งเครือ-มะแว้งต้น รสขมขื่นเปรี้ยว แก้ไอ แก้เจ็บคอ ขับเสมหะให้เอาผลแก่สด 5-10 ลูก โขลกพอแหลก คั้นเอาน้ำ แทรกเกลือ จิบบ่อยๆ หรือใช้ผลสดสัก 1-2 ลูก เคี้ยวกลืนทั้งเนื้อและน้ำ กินบ่อยๆ จนอาการดีขึ้น
มะเขือขื่น ใช้ราก รสเอียนขื่นเปรี้ยว เป็นยาขับเสมหะและน้ำลาย แก้ไอ กระทุ้งพิษไข้ แก้เสมหะ ขับเสมหะแก้เสมหะ โดยเอาส่วนของรากแช่กับน้ำสะอาด จิบดื่มเรื่อยๆ ใช้แก้ไอเรื้อรังหรือแก้ไอที่มีอาการไอมากๆ ได้ผลดี (แช่วันแรก - 2 วัน น้ำยาจะรสชาติยังจืด แต่หลังจาก 3 วันแล้วตัวยาจะมีรสขมมาก ใช้ไปจนอาการไอหาย)
ชะเอมเทศ ใช้ราก รสหวานขมชุ่ม แก้น้ำลายเหนียว แก้ไอ ทำเสมหะให้งวด ช่วยให้ชุ่มคอ บำรุงปอด ใช้รากชะเอมเทศ 5 กรัม ต้มเอาน้ำดื่ม ช่วยแก้ไอ ขับเสมหะ ข้อควรระวัง ห้ามใช้ในผู้ป่วยโรคความดันโลหิตสูง ผู้ป่วยโรคตับแข็ง ผู้ป่วยที่โลหิตมีโปแทสเซียมต่ำมากหรือน้อยเกินไป หรือผู้ป่วยโรคไตบกพร่องเรื้อรัง และสตรีมีครรภ์
หนุมานประสานกาย ใบ รสหอมเผ็ดปร่าขมฝาดเล็กน้อย แก้ไอ แก้เจ็บคอ แก้ปอดอักเสบ แก้หลอดลมอักเสบ แก้เส้นเลือดในสมองแตก ใช้ใบสดเล็กๆ 9 ใบ ต้มกับน้ำ 3 ถ้วยแก้ว เคี่ยวให้เหลือ 1 ถ้วยแก้ว รับประทานวันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร เช้า-เย็น รักษาโรคหืด แพ้อากาศ ขับเสมหะ และโรคหลอดลมอักเสบหรือใช้ใบสดขนาดเพสลาด สัก 3-5 ใบ ล้างให้สะอาด เคี้ยวให้ละเอียดแล้วกลื่นเอาแต่น้ำ หรือคั้นเอาน้ำดื่มก็ได้ ช่วยแก้ไอได้ดี
ยาอำมฤควาที ใช้สำหรับผู้ป่วยที่มีอาการไอแห้งๆ ระคายคอ แต่ไม่มีอาการเจ็บคอ ใช้ยาอัมฤควาทีช่วยลดอาการระคายเคืองเนื่องจากเสมหะข้นเหนียว ในกรณีที่มีอาการเจ็บคอคือมีการติดเชื้อร่วมด้วย ต้องใช้ร่วมกับยาตัวอื่น เมื่อรับประทานแล้วจะทำให้เสมหะไม่เหนียวข้น เสมหะจะอ่อนตัวและหลุดออกมาได้ง่าย
ยาประสะมะแว้ง ยานี้เหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการไอมีเสมหะมาก ประสะมะแว้งจะช่วยกำจัดเสมหะออกได้ดี ในกรณีที่รับประทานกับมะนาวแทรกเกลือต้องรับประทานทันที เพราะจะได้วิตามินซีด้วย ซึ่งจะช่วยลดไข้ได้เร็ว ช่วยขับเสมหะ ทำให้เสมหะค่อยๆ ลดลง
ในผู้ป่วยบางรายที่ไอแล้วมีเลือดปนออกมาเล็กน้อย เมื่อรับประทานประสะมะแว้งแล้วอาการจะดีขึ้น แต่ไม่ควรใช้มะนาว ให้ใช้เกลืออย่างเดียว.
Source : www.thaipost.net
ลูกประคบสมุนไพร
ลูกประคบสมุนไพร คือ ผ้าที่ใช้สมุนไพรหลายอย่างมาห่อรวมกัน นำมานึ่งให้ร้อน เป็นวิธีการบำบัดรักษาของการแพทย์แผนโบราณ แล้วประคบบริเวณที่เจ็บปวด เคล็ดขัดยอก โดยอาศัยความร้อนและคุณสมบัติสมุนไพร ทำให้อาการดีขึ้น คนไทยนิยมใช้ “ลูกประคบสมุนไพร” รักษากันมาแต่โบราณจนถึงปัจจุบัน โดยมักใช้รักษาควบคู่กับการนวดไทย คือ หลังจากนวดเสร็จแล้วจึงประคบนาบไปตามร่างกาย ผลของความร้อนที่ได้จากการประคบ ทำให้หลอดเลือดฝอยขยายตัว และตัวยาสมุนไพรร้อน ๆ ซึมผ่านชั้นผิวหนังเข้าสู่ร่างกาย และยังช่วยทำให้เนื้อเยื่อพังผืดยืดตัวออก ลดการติดขัดของข้อต่อ ลดการเกร็งตัวของกล้ามเนื้อ ลดปวด ช่วยลดการบวมที่เกิดจาการอักเสบของกล้ามเนื้อ เอ็น และข้อต่อ และช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
“สมุนไพร” ที่ใช้ในตำรับยา “ลูกประคบสมุนไพร” มีแตกต่างกันไปในวัตถุประสงค์ของการรักษา เช่น ตำรับแก้ปวดเมื่อย ตำรับแก้เหน็บชา ตำรับแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ตำหรับแก้ตะคริว เป็นต้น ตำรับแก้ปวดเมื่อยของแต่ละแห่ง อาจไม่ใช่สูตรเดียวกัน แต่มีตัวยาหลักเหมือนกัน
ส่วนมากแล้วมักใช้ “ลูกประคบสมุนไพร” ประคบกันในผู้ที่มีอาการเคล็ด ขัดยอก ซ้ำบวม แต่ถ้าต้องการประคบเพื่อคลายเครียด คลายเมื่อยล้า ก็สามารถทำได้ การประคบด้วยลูกประคบสมุนไพรเพื่อคลายเครียดนี้ จะช่วยให้คุณหายจากอาการอ่อนล้า อาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อเส้นเอ็น เกิดความกระปรี้กระเปร่า สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาโดยพลัน
“ลูกประคบสมุนไพร” นี้ปรากฏว่ามีมาแล้วช้านาน นอกจากจะมีการนำเอาสมุนไพรต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์เป็นยากินรักษาอาการของโรคต่าง ๆ หรือนำสมุนไพรบางชนิดมาปรุงเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ขจัดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาอาการภายนอกร่างกายได้อีกด้วย มีทั้งที่นำมาใช้เดี่ยว ๆ หรือนำมาปรุงผสมผสานเข้าด้วยกันหลาย ๆ อย่าง เป็นยาทาก็ได้ เป็นยาพอกก็ดี เป็นยาพ่น เป่าเป็นยาสูบ ยาอม ยารมควัน หรือยาประคบก็ได้ สารพัดสารพัน นี่คือมรดกทางภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนโบราณของไทยเราโดยแท้
การประคบลูกประคบสมุนไพร มี 2 ชนิด คือ
• การประคบเปียก
• การประคบแห้ง
ตำแหน่งการประคบ-ลูกประคบสมุนไพร
“ลูกประคบสมุนไพร” สามารถใช้ประคบได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นบริเวณผิวหน้า ขึ้นอยู่กับอาการของโรค อาทิ ท่อนขารวมทั้งขาอ่อน น่อง เข่า ฝ่าเท้า หรือ หลังเท้า นอกจากนั้นส่วนของแผ่นหลัง เอว สะโพก ช่วงไหล่ แขน หน้าท้องและชายโครง ก็ทำการประคบได้เช่นกัน
ประโยชน์ของการประคบ ลูกประคบสมุนไพร
“ประโยชน์และสรรพคุณของลูกประคบสมุนไพร” มีมากมายมหาศาล อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับของการแพทย์แผนไทยหรือแม้แต่การแพทย์อายุรเวทในปัจจุบัน ว่าเป็นวิธีรักษาโรควิธีหนึ่ง และมีประสิทธิภาพในการบำบัดรักษา โดยเฉพาะการช่วยลดความเครียด กำจัดความอ่อนเพลีย สร้างความสดใสให่แก่อารมณ์และความรู้สึก ช่วยคลายความเนื้อ คลายเส้นเอ็น เส้นสายในผู้ป่วยให้ผ่อนคลายลง ไม่ตึงเครียดและอึดอัด
ประโยชน์ของการประคบ ลูกประคบสมุนไพร ในการรักษาอาการต่าง ๆ ดังนี้
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อขจัดอาการของโรค
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อคลายเส้น เอ็น กล้ามเนื้อ ให้หายจากอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อให้โลหิตไหลเวียนทั่วสรรพางค์กายได้สะดวกดีขึ้น
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อบรรเทาและรักษาอาการเหน็บชา อัมพฤกษ์และอัมพาต
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อลดไขมัน หรือละลายไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อลดความดันโลหิตสูงให้ลดลงมาเป็นปกติ
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็ววันยิ่งขึ้น
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อขับน้ำคาวปลาออกมาจากมดลูกให้หมดสิ้น ไม่เหลือคั่งค้างเอาไว้
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อให้ร่างกายพริกฟื้นจากความอ่อนแอ ขี้โรค ให้มีเรี่ยวแรงดีขึ้น
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อคลายเครียด สบายเนื้อสบายตัว อารมณ์แช่มชื่น ผ่องใส จิตใจ ปลอดโปร่ง
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อสร้างสมดุลให้แก่สุขภาพของตนเองแม้ว่าจะไม่เจ็บป่วย หรือมีโรคภัยใด ๆ ก็ตาม
ขั้นตอนวิธีการประคบและข้อควรระวังในการประคบ ลูกประคบสมุนไพร
ขั้นตอนวิธีการประคบ ลูกประคบสมุนไพร
1. จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสม ในท่านั่งหรือนอน
2. นำลูกประคบสมุนไพรที่นึ่งจนร้อนมาทดสอบความร้อน โดยแตะที่ท้องแขน หรือหลังมือก่อนนำไปประคบ
3. ในการประคบสมุนไพรต้องทำด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่ลูกประคบสมุนไพรกำลังร้อน เมื่อลูกประคบสมุนไพรเย็นลงจึงวางลูกประคบสมุนไพรไว้ได้นานขึ้น
4. เมื่อลูกประคบสมุนไพรคลายความร้อน จึงเปลี่ยนลูกประคบอีกลูกหนึ่งแทน
ลักษณะประคบ ลูกประคบสมุนไพร
สังเกตุดูลูกประคบสมุนไพร ว่ามีความร้อนมากหรือเปล่า ถ้าลูกประคบสมุนไพรมีความร้อนต้องห่มผ้าขนหนูก่อนแล้วประคบ ตอนแรกห้ามประคบที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังผู้ป่วยพุพอง หรือผู้ป่วยตกใจอาจช้อกได้ เมื่อร้อนต้องประคบเร็ว ๆ คอยซักถามดูเรื่อย ๆ แล้วค่อยช้าลง ถ้าไม่ร้อนเอาผ้าขนหนูออก
วีธีการทําลูกประคบสมุนไพรแห้ง
อุปกรณ์
1. ผ้าดิบสําหรับห่อลูกประคบ ขนาด 35 ซม. X 35 ซม.
2. เชือกด้าย ยาวประมาณ 2 เมตร
3. สมุนไพรแห้ง
4. หม้อสําหรับผสมสมุนไพร ทัพพี
5. เครื่องชั่ง (ที่สามารถชั่งสมุนไพรปริมาณน้อยๆได้น้ําหนักถูกต้อง)
วิธีทํา
1. นําสมุนไพรแต่ละชนิดมาล้างน้ําหลายๆ ครั้ง ให้สะอาด แล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ํา
2. นําไพล ขมิ้นชัน มาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วอบที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส หรือตากแดดจนแห้ง จากนั้น นํามาตําหรือบด ให้ได้ขนาดตามต้องการ
3. นําตะไคร้ ผิวมะกรูด มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส หรือตากแดดจนแห้ง จากนั้นนํามาตําหรือบด ให้ได้ขนาดตามต้องการ
4. ใบมะขาม ใบส้มป่อย อบที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส หรือตากแดดจนแห้ง
5. นําสมุนไพรทุกชนิดมาชั่งน้ําหนักตามที่ต้องการ แล้วนํามาผสมกัน เติมการบูร พิมเสนและเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
6. เตรียมผ้าสําหรับห่อลูกประคบ ชั่ง สมุนไพรผสม 150 กรัม วางบนผ้า แล้วจึงห่อลูกประคบ ให้แน่นด้วยเชือก
สูตรสมุนไพรลูกประคบ
• ไพล 500 กรัม
• ขมิ้นชัน 100 กรัม
• ตะไคร้บ้าน 100 กรัม
• ผิวมะกรูด 200 กรัม
• ใบมะขาม 200 กรัม
• ใบส้มป่อย 100 กรัม
• การบูร 30 กรัม
• พิมเสน 30 กรัม
• เกลือ 20 กรัม
น้ําหนักรวมประมาณ 1,280 กรัม ทําลูกประคบขนาด 150 กรัม ได้ประมาณ 8 – 9 ลูก
การเก็บรักษาลูกประะคบหลังการใช้
ลูกประคบสมุนไพรที่ใช้แล้ว สามารถเก็บไว้ใช้ได้ 2-3 ครั้ง โดยวางลูกประคบที่ใช้เสร็จแล้วไว้ให้เย็น แล้วนําใส่ในถุงพลาสติกที่ปิดสนิท เก็บในตู้เย็นได้ 2-3 วัน ก่อนนําลูกประคบมาใช้ครั้งต่อไป ควรตรวจดูสมุนไพรในห่อลูกประคบด้วย ถ้ามีกลิ่นบูดหรือมีราขึ้นไม่ควรนํามาใช้อีก ถ้าลูกประคบที่ใช้แ ล้วไม่มีสีเหลืองหรือสี เหลืองอ่อนลงแสดงว่า สารสมุนไพรจางลง ไม่ควรมาใช้อีก ลูกประคบที่เก็บไว้ถ้าแห้ง ควรพรมด้วยน้ําก่อนใช้
ข้อควรระวังในการประคบสมุนไพร
1. ห้ามใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไปกับบริเวณผิวหนังอ่อนๆ หรือบริเวณที่เคยเป็นแผลมาก่อน ถ้าต้องการใช้ควรมีผ้าขนหนูรองก่อนหรือรอจนกว่าลูกประคบจะคลายร้อนลง
2. ควรระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก และผู้สูงอายุเนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวความรู้สึกตอบสนองต่อความร้อนช้าอาจจะทําให้ผิวหนังไหม้, พองได้ง่าย ถ้าต้องการใช้ควรจะใช้ลูกประคบที่อุ่นๆ
3. ไม่ควรใช้ลูกประคบสมุนไพรในกรณีที่มีแผล อักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก อาจจะทําให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
4. หลังจากประคบสมุนไพรแล้ว ไม่ควรอาบน้ําทันทีเพราะจะไปชะล้างสมุนไพรออกจากผิวหนัง และทําให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจจะทําให้เป็นไข้ได้
Source : http://www.monmai.com/
“สมุนไพร” ที่ใช้ในตำรับยา “ลูกประคบสมุนไพร” มีแตกต่างกันไปในวัตถุประสงค์ของการรักษา เช่น ตำรับแก้ปวดเมื่อย ตำรับแก้เหน็บชา ตำรับแก้อัมพฤกษ์ อัมพาต ตำหรับแก้ตะคริว เป็นต้น ตำรับแก้ปวดเมื่อยของแต่ละแห่ง อาจไม่ใช่สูตรเดียวกัน แต่มีตัวยาหลักเหมือนกัน
ส่วนมากแล้วมักใช้ “ลูกประคบสมุนไพร” ประคบกันในผู้ที่มีอาการเคล็ด ขัดยอก ซ้ำบวม แต่ถ้าต้องการประคบเพื่อคลายเครียด คลายเมื่อยล้า ก็สามารถทำได้ การประคบด้วยลูกประคบสมุนไพรเพื่อคลายเครียดนี้ จะช่วยให้คุณหายจากอาการอ่อนล้า อาการปวดเมื่อย กล้ามเนื้อเส้นเอ็น เกิดความกระปรี้กระเปร่า สบายเนื้อสบายตัวขึ้นมาโดยพลัน
“ลูกประคบสมุนไพร” นี้ปรากฏว่ามีมาแล้วช้านาน นอกจากจะมีการนำเอาสมุนไพรต่าง ๆ มาใช้ประโยชน์เป็นยากินรักษาอาการของโรคต่าง ๆ หรือนำสมุนไพรบางชนิดมาปรุงเป็นยาบำรุงกำลัง บำรุงร่างกาย ขจัดโรคภัยไข้เจ็บต่าง ๆ แล้วยังสามารถนำมาใช้เป็นยารักษาอาการภายนอกร่างกายได้อีกด้วย มีทั้งที่นำมาใช้เดี่ยว ๆ หรือนำมาปรุงผสมผสานเข้าด้วยกันหลาย ๆ อย่าง เป็นยาทาก็ได้ เป็นยาพอกก็ดี เป็นยาพ่น เป่าเป็นยาสูบ ยาอม ยารมควัน หรือยาประคบก็ได้ สารพัดสารพัน นี่คือมรดกทางภูมิปัญญาของหมอพื้นบ้านหรือแพทย์แผนโบราณของไทยเราโดยแท้
การประคบลูกประคบสมุนไพร มี 2 ชนิด คือ
• การประคบเปียก
• การประคบแห้ง
ตำแหน่งการประคบ-ลูกประคบสมุนไพร
“ลูกประคบสมุนไพร” สามารถใช้ประคบได้เกือบทุกส่วนของร่างกาย ยกเว้นบริเวณผิวหน้า ขึ้นอยู่กับอาการของโรค อาทิ ท่อนขารวมทั้งขาอ่อน น่อง เข่า ฝ่าเท้า หรือ หลังเท้า นอกจากนั้นส่วนของแผ่นหลัง เอว สะโพก ช่วงไหล่ แขน หน้าท้องและชายโครง ก็ทำการประคบได้เช่นกัน
ประโยชน์ของการประคบ ลูกประคบสมุนไพร
“ประโยชน์และสรรพคุณของลูกประคบสมุนไพร” มีมากมายมหาศาล อีกทั้งยังเป็นที่ยอมรับของการแพทย์แผนไทยหรือแม้แต่การแพทย์อายุรเวทในปัจจุบัน ว่าเป็นวิธีรักษาโรควิธีหนึ่ง และมีประสิทธิภาพในการบำบัดรักษา โดยเฉพาะการช่วยลดความเครียด กำจัดความอ่อนเพลีย สร้างความสดใสให่แก่อารมณ์และความรู้สึก ช่วยคลายความเนื้อ คลายเส้นเอ็น เส้นสายในผู้ป่วยให้ผ่อนคลายลง ไม่ตึงเครียดและอึดอัด
ประโยชน์ของการประคบ ลูกประคบสมุนไพร ในการรักษาอาการต่าง ๆ ดังนี้
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อขจัดอาการของโรค
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อคลายเส้น เอ็น กล้ามเนื้อ ให้หายจากอาการเมื่อยล้า อ่อนเพลีย
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อให้โลหิตไหลเวียนทั่วสรรพางค์กายได้สะดวกดีขึ้น
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อบรรเทาและรักษาอาการเหน็บชา อัมพฤกษ์และอัมพาต
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อลดไขมัน หรือละลายไขมันที่สะสมอยู่ในร่างกาย
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อลดความดันโลหิตสูงให้ลดลงมาเป็นปกติ
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อให้มดลูกเข้าอู่ได้เร็ววันยิ่งขึ้น
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อขับน้ำคาวปลาออกมาจากมดลูกให้หมดสิ้น ไม่เหลือคั่งค้างเอาไว้
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อให้ร่างกายพริกฟื้นจากความอ่อนแอ ขี้โรค ให้มีเรี่ยวแรงดีขึ้น
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อคลายเครียด สบายเนื้อสบายตัว อารมณ์แช่มชื่น ผ่องใส จิตใจ ปลอดโปร่ง
• ลูกประคบสมุนไพร-ประคบเพื่อสร้างสมดุลให้แก่สุขภาพของตนเองแม้ว่าจะไม่เจ็บป่วย หรือมีโรคภัยใด ๆ ก็ตาม
ขั้นตอนวิธีการประคบและข้อควรระวังในการประคบ ลูกประคบสมุนไพร
ขั้นตอนวิธีการประคบ ลูกประคบสมุนไพร
1. จัดท่าผู้ป่วยให้เหมาะสม ในท่านั่งหรือนอน
2. นำลูกประคบสมุนไพรที่นึ่งจนร้อนมาทดสอบความร้อน โดยแตะที่ท้องแขน หรือหลังมือก่อนนำไปประคบ
3. ในการประคบสมุนไพรต้องทำด้วยความรวดเร็ว ในขณะที่ลูกประคบสมุนไพรกำลังร้อน เมื่อลูกประคบสมุนไพรเย็นลงจึงวางลูกประคบสมุนไพรไว้ได้นานขึ้น
4. เมื่อลูกประคบสมุนไพรคลายความร้อน จึงเปลี่ยนลูกประคบอีกลูกหนึ่งแทน
ลักษณะประคบ ลูกประคบสมุนไพร
สังเกตุดูลูกประคบสมุนไพร ว่ามีความร้อนมากหรือเปล่า ถ้าลูกประคบสมุนไพรมีความร้อนต้องห่มผ้าขนหนูก่อนแล้วประคบ ตอนแรกห้ามประคบที่ใดที่หนึ่งนาน ๆ เพราะจะทำให้ผิวหนังผู้ป่วยพุพอง หรือผู้ป่วยตกใจอาจช้อกได้ เมื่อร้อนต้องประคบเร็ว ๆ คอยซักถามดูเรื่อย ๆ แล้วค่อยช้าลง ถ้าไม่ร้อนเอาผ้าขนหนูออก
วีธีการทําลูกประคบสมุนไพรแห้ง
อุปกรณ์
1. ผ้าดิบสําหรับห่อลูกประคบ ขนาด 35 ซม. X 35 ซม.
2. เชือกด้าย ยาวประมาณ 2 เมตร
3. สมุนไพรแห้ง
4. หม้อสําหรับผสมสมุนไพร ทัพพี
5. เครื่องชั่ง (ที่สามารถชั่งสมุนไพรปริมาณน้อยๆได้น้ําหนักถูกต้อง)
วิธีทํา
1. นําสมุนไพรแต่ละชนิดมาล้างน้ําหลายๆ ครั้ง ให้สะอาด แล้วผึ่งให้สะเด็ดน้ํา
2. นําไพล ขมิ้นชัน มาหั่นเป็นชิ้นบางๆ แล้วอบที่อุณหภูมิ 70 องศาเซลเซียส หรือตากแดดจนแห้ง จากนั้น นํามาตําหรือบด ให้ได้ขนาดตามต้องการ
3. นําตะไคร้ ผิวมะกรูด มาหั่นเป็นชิ้นเล็กๆ แล้วอบที่อุณหภูมิ 60 องศาเซลเซียส หรือตากแดดจนแห้ง จากนั้นนํามาตําหรือบด ให้ได้ขนาดตามต้องการ
4. ใบมะขาม ใบส้มป่อย อบที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส หรือตากแดดจนแห้ง
5. นําสมุนไพรทุกชนิดมาชั่งน้ําหนักตามที่ต้องการ แล้วนํามาผสมกัน เติมการบูร พิมเสนและเกลือ คลุกเคล้าให้เข้ากัน
6. เตรียมผ้าสําหรับห่อลูกประคบ ชั่ง สมุนไพรผสม 150 กรัม วางบนผ้า แล้วจึงห่อลูกประคบ ให้แน่นด้วยเชือก
สูตรสมุนไพรลูกประคบ
• ไพล 500 กรัม
• ขมิ้นชัน 100 กรัม
• ตะไคร้บ้าน 100 กรัม
• ผิวมะกรูด 200 กรัม
• ใบมะขาม 200 กรัม
• ใบส้มป่อย 100 กรัม
• การบูร 30 กรัม
• พิมเสน 30 กรัม
• เกลือ 20 กรัม
น้ําหนักรวมประมาณ 1,280 กรัม ทําลูกประคบขนาด 150 กรัม ได้ประมาณ 8 – 9 ลูก
การเก็บรักษาลูกประะคบหลังการใช้
ลูกประคบสมุนไพรที่ใช้แล้ว สามารถเก็บไว้ใช้ได้ 2-3 ครั้ง โดยวางลูกประคบที่ใช้เสร็จแล้วไว้ให้เย็น แล้วนําใส่ในถุงพลาสติกที่ปิดสนิท เก็บในตู้เย็นได้ 2-3 วัน ก่อนนําลูกประคบมาใช้ครั้งต่อไป ควรตรวจดูสมุนไพรในห่อลูกประคบด้วย ถ้ามีกลิ่นบูดหรือมีราขึ้นไม่ควรนํามาใช้อีก ถ้าลูกประคบที่ใช้แ ล้วไม่มีสีเหลืองหรือสี เหลืองอ่อนลงแสดงว่า สารสมุนไพรจางลง ไม่ควรมาใช้อีก ลูกประคบที่เก็บไว้ถ้าแห้ง ควรพรมด้วยน้ําก่อนใช้
ข้อควรระวังในการประคบสมุนไพร
1. ห้ามใช้ลูกประคบที่ร้อนเกินไปกับบริเวณผิวหนังอ่อนๆ หรือบริเวณที่เคยเป็นแผลมาก่อน ถ้าต้องการใช้ควรมีผ้าขนหนูรองก่อนหรือรอจนกว่าลูกประคบจะคลายร้อนลง
2. ควรระวังเป็นพิเศษในผู้ป่วยเบาหวาน อัมพาต เด็ก และผู้สูงอายุเนื่องจากกลุ่มบุคคลดังกล่าวความรู้สึกตอบสนองต่อความร้อนช้าอาจจะทําให้ผิวหนังไหม้, พองได้ง่าย ถ้าต้องการใช้ควรจะใช้ลูกประคบที่อุ่นๆ
3. ไม่ควรใช้ลูกประคบสมุนไพรในกรณีที่มีแผล อักเสบ (ปวด บวม แดง ร้อน) ในช่วง 24 ชั่วโมงแรก อาจจะทําให้เกิดอาการบวมมากขึ้น
4. หลังจากประคบสมุนไพรแล้ว ไม่ควรอาบน้ําทันทีเพราะจะไปชะล้างสมุนไพรออกจากผิวหนัง และทําให้ร่างกายปรับอุณหภูมิไม่ทันอาจจะทําให้เป็นไข้ได้
Source : http://www.monmai.com/
รักษาฝ้าด้วยสมุนไพร
แสง
แดดมีคุณค่าและประโยชน์ต่อสรรพสิ่งต่าง ๆ
บนโลกใบนี้แต่เมื่อมีคุณค่าและประโยชน์แล้ว ในทางกลับกัน
ก็สามารถทำลายได้เช่นกัน ยิ่งสำหรับผิวพรรณแล้ว
แสงแดดเป็นศัตรูร้ายเชียวล่ะ
เพราะถ้าหากคุณทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดนาน ๆ ผิวของคุณจะไหม้เกรียมและเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นให้เกิดฝ้า เท่านั้นยังไม่พออีกนะ...ยังจะมากระตุ้นให้เกิดกระขึ้นอีก
สำหรับคนที่เป็นกระอยู่ก่อนแล้ว หากโดนแสงแดดเข้าอีกก็จะยิ่งทำให้สีของเจ้ากระตัวนี้เข้มขึ้นไปอีก วิธีการรักษากระ เรามาทำความรู้จักกับเจ้ากระก่อนดีกว่า
โดยทั่วไปแล้วได้แบ่ง กระ ไว้เป็น 4 ชนิดด้วยกัน
1. กระ ตื้น ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักพบกระจายทั่วใบหน้า ถ้าโดนแดดสีมักจะเข้มขึ้น แต่ถ้าไม่โดนแดดนาน ๆ สีมักจะจางลงได้เอง
2. กระลึก ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเทา ๆ เห็นเป็นเงาส่วนใหญ่อยู่บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง
3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาล หรืออาจเป็นสีดำเป็นก้อนเล็ก ๆ ผิวเรียบหรือขรุขระก็ได้ บางครั้งดูคล้ายหูด มักพบบริเวณใบหน้า คอ หรือลำตัวก็ได้
4. กระแดด มีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุหรือคนที่ต้องทำงานอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน
ลองส่องกระจกแล้วสังเกตุดูนะว่าคุณเป็นกระชนิดใหน
สาเหตุใหญ่ ๆ ที่ทำให้เกิดกระ คือ พันธุกรรม ก็คือรับมรดกจากบรรพบุรุษนั่นแหละ ถ้าปู่ ย่า ตา ยาย รักคุณมาก. มาก ก็ได้มากและอีกตัวการคือ แสงแดดในชีวิตประจำวันเรามีโอกาสที่จะเผชิญกับแสงแดดอยู่เสมอ จึงควรหลีกเลี่ยงและหาทางป้องกัน เช่น ใช้ครีมกันแดด สวมหมวก กางร่ม หรือสวมเสื้อแขนยาว เป็นต้น
หากหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ก็ควรทำ เพราะเป็นการรักษาผิวพรรณของคุณไม่ให้หมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำขึ้นอีกนะ
ส่วนผสม
น้ำมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำและวิธีใช้
1. นำน้ำมะเขือเทศ และน้ำมะนาวมาผสมให้เข้ากันเป็นอย่างดี
2. ล้างหน้าให้สะอาดและซับหน้าให้แห้ง
3. นำสูตรที่ผสมเตรียมไว้ มาทาตรงบริเวณที่เป็นกระทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
4. จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
(น้ำมะนาวเป็นกรด การใช้กับใบหน้า ควรทดลองทำเพียงจุดเล็กๆ ก่อน ป้องกันผิวหน้าบางท่านแพ้ หากใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้ค่อยทำเพิ่มจุดอื่นๆ ต่อไป)
สูตรลดรอยกระบนใบหน้าสูตร 2 สูตรนี้ทำทุกวัน รอยกระบนใบหน้าจะดูจางลง
ส่วนผสม
เบบี้ออยล์ 2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำและวิธีใช้
1. นำเบบี้ออยล์ และน้ำมะนาวผสมคนให้เข้ากัน
2. ล้างหน้าให้สะอาด และซับหน้าให้แห้ง
3. เมื่อได้ส่วนผสมแล้ว ให้ทาทั่วบริเวณใบหน้า แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
4. หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
Source : www.ichumphae.com
เพราะถ้าหากคุณทำงานที่ต้องอยู่กลางแดดนาน ๆ ผิวของคุณจะไหม้เกรียมและเป็นสาเหตุให้เกิดริ้วรอยเหี่ยวย่น ดูแก่ก่อนวัย นอกจากนี้ยังไปกระตุ้นให้เกิดฝ้า เท่านั้นยังไม่พออีกนะ...ยังจะมากระตุ้นให้เกิดกระขึ้นอีก
สำหรับคนที่เป็นกระอยู่ก่อนแล้ว หากโดนแสงแดดเข้าอีกก็จะยิ่งทำให้สีของเจ้ากระตัวนี้เข้มขึ้นไปอีก วิธีการรักษากระ เรามาทำความรู้จักกับเจ้ากระก่อนดีกว่า
โดยทั่วไปแล้วได้แบ่ง กระ ไว้เป็น 4 ชนิดด้วยกัน
1. กระ ตื้น ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเล็ก ๆ มีขนาดไม่เกิน 0.5 เซนติเมตร ขอบเขตไม่ชัดเจน และมักพบกระจายทั่วใบหน้า ถ้าโดนแดดสีมักจะเข้มขึ้น แต่ถ้าไม่โดนแดดนาน ๆ สีมักจะจางลงได้เอง
2. กระลึก ลักษณะเป็นจุดสีน้ำตาลเทา ๆ เห็นเป็นเงาส่วนใหญ่อยู่บริเวณโหนกแก้ม 2 ข้าง
3. กระเนื้อ มีลักษณะเป็นตุ่มสีน้ำตาล หรืออาจเป็นสีดำเป็นก้อนเล็ก ๆ ผิวเรียบหรือขรุขระก็ได้ บางครั้งดูคล้ายหูด มักพบบริเวณใบหน้า คอ หรือลำตัวก็ได้
4. กระแดด มีลักษณะเป็นดวงสีน้ำตาล ผิวเรียบ ส่วนใหญ่พบในคนสูงอายุหรือคนที่ต้องทำงานอยู่กลางแสงแดดเป็นเวลานาน
ลองส่องกระจกแล้วสังเกตุดูนะว่าคุณเป็นกระชนิดใหน
สาเหตุใหญ่ ๆ ที่ทำให้เกิดกระ คือ พันธุกรรม ก็คือรับมรดกจากบรรพบุรุษนั่นแหละ ถ้าปู่ ย่า ตา ยาย รักคุณมาก. มาก ก็ได้มากและอีกตัวการคือ แสงแดดในชีวิตประจำวันเรามีโอกาสที่จะเผชิญกับแสงแดดอยู่เสมอ จึงควรหลีกเลี่ยงและหาทางป้องกัน เช่น ใช้ครีมกันแดด สวมหมวก กางร่ม หรือสวมเสื้อแขนยาว เป็นต้น
หากหลีกเลี่ยงแสงแดดได้ก็ควรทำ เพราะเป็นการรักษาผิวพรรณของคุณไม่ให้หมองคล้ำ เกิดจุดด่างดำขึ้นอีกนะ
แนะนำสูตรการรักษากระแบบการใช้สมุนไพรไทย
สูตรลดรอยกระบนใบหน้าสูตร 1 สูตรนี้ทำทุกวัน รอยกระบนใบหน้าจะดูจางลงอย่างเห็นได้ชัดส่วนผสม
น้ำมะเขือเทศ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
ขั้นตอนการทำและวิธีใช้
1. นำน้ำมะเขือเทศ และน้ำมะนาวมาผสมให้เข้ากันเป็นอย่างดี
2. ล้างหน้าให้สะอาดและซับหน้าให้แห้ง
3. นำสูตรที่ผสมเตรียมไว้ มาทาตรงบริเวณที่เป็นกระทิ้งไว้ประมาณ 5 นาที
4. จากนั้นจึงล้างออกด้วยน้ำสะอาด เป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
(น้ำมะนาวเป็นกรด การใช้กับใบหน้า ควรทดลองทำเพียงจุดเล็กๆ ก่อน ป้องกันผิวหน้าบางท่านแพ้ หากใช้แล้วไม่เกิดอาการแพ้ค่อยทำเพิ่มจุดอื่นๆ ต่อไป)
สูตรลดรอยกระบนใบหน้าสูตร 2 สูตรนี้ทำทุกวัน รอยกระบนใบหน้าจะดูจางลง
ส่วนผสม
เบบี้ออยล์ 2 ช้อนชา
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
ขั้นตอนการทำและวิธีใช้
1. นำเบบี้ออยล์ และน้ำมะนาวผสมคนให้เข้ากัน
2. ล้างหน้าให้สะอาด และซับหน้าให้แห้ง
3. เมื่อได้ส่วนผสมแล้ว ให้ทาทั่วบริเวณใบหน้า แล้วทิ้งไว้ประมาณ 10 นาที
4. หลังจากนั้นให้ล้างออกด้วยน้ำสะอาดเป็นอันเสร็จขั้นตอนการทำ
Source : www.ichumphae.com
กำจัดปลวกด้วยสมุนไพร
สมุนไพรกาจัดปลวกสกัดจากพืชสมุนไพรไทย เช่น หางไหล ตระไคร้ หอม ข่า ขมิ้นชัน หัวแห้วหมู พริกขี้หนู เมล็ดงา และใบสาบเสือ ฯ สมุนไพรเหล่านี้ เป็นพืชที่ปลวกไม่สามารถสร้างกลไก ในการย่อยสลายสารสาคัญจากพืชเหล่านี้ได้ สารสาคัญจากพืชเหล่านี้ มีผลในการควบคุมประชากรปลวกโดยกลไกที่แตกต่างกันตั้งแต่ การยับยั้ง การเจริญเติบโตของตัวอ่อน การวางไข่ การกินอาหาร ตลอดถึงการลดการพัฒนาการ ของ จุลินทรีย์ในลาไส้ ปลวก ซึ่งมีผลโดยตรงต่อความอยู่ รอดและการทาลายของปลวก ซึ่งทาให้มีการควบคุมประชากรของปลวก
ขี้เหล็ก เดิมเป็นไม้ในบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นับจากหมู่เกาะต่างๆ ของประเทศอินโดนีเซียไปจนกระทั่งถึงประเทศศรีลังกา ต่อมามีผู้นำเอาไม้ขี้เหล็กไปปลูกในบริเวณต่างๆ สำหรับในประเทศไทยเราจะพบไม้ขี้เหล็กในแทบทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ภาคเหนือ, ภาคกลาง, ภาคใต้ ชาวบ้านนิยมปลูกไม้ขี้เหล็กเป็นไม้ให้ร่มและเป็นไม้ประดับ ขึ้นได้ในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
- ดอก รักษาโรคเส้นประสาท นอนไม่หลับ ทำให้หลับสบาย รักษาโรคหืด รักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ รักษารังแค ขับพยาธิ
- ราก รักษาไข้ รักษาโรคเหน็บชา ทาแก้เส้นอัมพฤกษ์ให้หย่อน แก้ฟกช้ำ แก้ไข้บำรุงธาตุ ไข้ผิดสำแดง
- ลำต้นและกิ่ง เป็นยาระบาย รักษาโรคผิวหนัง แก้โรคกระษัย แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว
- ทั้งต้น แก้กระษัย ดับพิษไข้ แก้พิษเสมหะ รักษาโรคหนองใน รักษาอาการตัวเหลือง เป็นยาระบาย บำรุงน้ำดี ทำให้เส้นเอ็นหย่อน
- เปลือกต้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร โรคหิด แก้กระษัยใช้เป็นยาระบาย
- กระพี้ รสขมเฝื่อน แก้ร้อนกระสับกระส่าย บำรุงโลหิต คุมกำเนิด
- ใบ รักษาโรคบิด รักษาโรคเบาหวาน แก้ร้อนใน รักษาฝีมะม่วง รักษาโรคเหน็บชา ลดความดันโลหิตสูง ขับพยาธิ เป็นยาระบาย รักษาอาการ นอนไม่หลับ
- ฝัก แก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ แก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้ระส่ำระสายในท้อง
- เปลือกฝัก แก้เส้นเอ็นพิการ
- ใบแก่ ใช้ทำปุ๋ยหมัก ใบขี้เหล็กมีสารอะไรในการกำจัดปลวก สารเคมีในใบขี้เหล็ก พบว่ามีสารกลุ่มโครโมน (Chromone) ซึ่งมีฤทธิ์คลายเครียดและช่วยให้นอนหลับ เช่น แอนไฮโดรบาราคอล (anhydrobarakol) และกลุ่ม anthraquinones ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ถ่ายหรือระบายท้อง เช่น แอนโทรน และไดแอนโทรน (anthrone and dianthrone) เป็นต้น
ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขี้เหล็กมีทั้งประโยชน์และโทษ การบริโภคขี้เหล็กโดยนำมาต้ม และทิ้งน้ำก่อนนำมาแกง ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดปริมาณความเข้มข้นของสารพิษในขี้เหล็ก ทำให้ปลอดภัยในการนำมารับประทาน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กมาทำเป็นยาเม็ดโดยไม่ต้มน้ำทิ้ง จะส่งผลให้ปริมาณสารพิษยังคงมีปริมาณสูง ดังนั้นก่อนการรับประทานขี้เหล็กควรศึกษากรรมวิธีเตรียม และไม่ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ต้นขี้แหล็ก |
ขี้เหล็ก เดิมเป็นไม้ในบริเวณเอเซียตะวันออกเฉียงใต้นับจากหมู่เกาะต่างๆ ของประเทศอินโดนีเซียไปจนกระทั่งถึงประเทศศรีลังกา ต่อมามีผู้นำเอาไม้ขี้เหล็กไปปลูกในบริเวณต่างๆ สำหรับในประเทศไทยเราจะพบไม้ขี้เหล็กในแทบทุกจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ภาคเหนือ, ภาคกลาง, ภาคใต้ ชาวบ้านนิยมปลูกไม้ขี้เหล็กเป็นไม้ให้ร่มและเป็นไม้ประดับ ขึ้นได้ในดินร่วนปนทรายที่มีการระบายน้ำดี
การใช้ประโยชน์ทางด้านสมุนไพร
- ดอก รักษาโรคเส้นประสาท นอนไม่หลับ ทำให้หลับสบาย รักษาโรคหืด รักษาโรคโลหิตพิการ ผายธาตุ รักษารังแค ขับพยาธิ
- ราก รักษาไข้ รักษาโรคเหน็บชา ทาแก้เส้นอัมพฤกษ์ให้หย่อน แก้ฟกช้ำ แก้ไข้บำรุงธาตุ ไข้ผิดสำแดง
- ลำต้นและกิ่ง เป็นยาระบาย รักษาโรคผิวหนัง แก้โรคกระษัย แก้นิ่ว ขับปัสสาวะ ขับระดูขาว
- ทั้งต้น แก้กระษัย ดับพิษไข้ แก้พิษเสมหะ รักษาโรคหนองใน รักษาอาการตัวเหลือง เป็นยาระบาย บำรุงน้ำดี ทำให้เส้นเอ็นหย่อน
- เปลือกต้น รักษาโรคริดสีดวงทวาร โรคหิด แก้กระษัยใช้เป็นยาระบาย
- กระพี้ รสขมเฝื่อน แก้ร้อนกระสับกระส่าย บำรุงโลหิต คุมกำเนิด
- ใบ รักษาโรคบิด รักษาโรคเบาหวาน แก้ร้อนใน รักษาฝีมะม่วง รักษาโรคเหน็บชา ลดความดันโลหิตสูง ขับพยาธิ เป็นยาระบาย รักษาอาการ นอนไม่หลับ
- ฝัก แก้พิษไข้เพื่อน้ำดี พิษไข้เพื่อเสมหะ แก้ลมขึ้นเบื้องสูง เบื้องบน โลหิตขึ้นเบื้องบน ทำให้ระส่ำระสายในท้อง
- เปลือกฝัก แก้เส้นเอ็นพิการ
- ใบแก่ ใช้ทำปุ๋ยหมัก ใบขี้เหล็กมีสารอะไรในการกำจัดปลวก สารเคมีในใบขี้เหล็ก พบว่ามีสารกลุ่มโครโมน (Chromone) ซึ่งมีฤทธิ์คลายเครียดและช่วยให้นอนหลับ เช่น แอนไฮโดรบาราคอล (anhydrobarakol) และกลุ่ม anthraquinones ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ถ่ายหรือระบายท้อง เช่น แอนโทรน และไดแอนโทรน (anthrone and dianthrone) เป็นต้น
ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขี้เหล็กมีทั้งประโยชน์และโทษ การบริโภคขี้เหล็กโดยนำมาต้ม และทิ้งน้ำก่อนนำมาแกง ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดปริมาณความเข้มข้นของสารพิษในขี้เหล็ก ทำให้ปลอดภัยในการนำมารับประทาน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กมาทำเป็นยาเม็ดโดยไม่ต้มน้ำทิ้ง จะส่งผลให้ปริมาณสารพิษยังคงมีปริมาณสูง ดังนั้นก่อนการรับประทานขี้เหล็กควรศึกษากรรมวิธีเตรียม และไม่ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
ใบขี้เหล็กมีสารอะไรในการกำจัดปลวก
สารเคมีในใบขี้เหล็ก พบว่ามีสารกลุ่มโครโมน (Chromone) ซึ่งมีฤทธิ์คลายเครียดและช่วยให้นอนหลับ เช่น แอนไฮโดรบาราคอล (anhydrobarakol) และกลุ่ม anthraquinones ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ถ่ายหรือระบายท้อง เช่น แอนโทรน และไดแอนโทรน (anthrone and dianthrone) เป็นต้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขี้เหล็กมีทั้งประโยชน์และโทษ การบริโภคขี้เหล็กโดยนำมาต้ม และทิ้งน้ำก่อนนำมาแกง ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดปริมาณความเข้มข้นของสารพิษในขี้เหล็ก ทำให้ปลอดภัยในการนำมารับประทาน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กมาทำเป็นยาเม็ดโดยไม่ต้มน้ำทิ้ง จะส่งผลให้ปริมาณสารพิษยังคงมีปริมาณสูง ดังนั้นก่อนการรับประทานขี้เหล็กควรศึกษากรรมวิธีเตรียม และไม่ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
สารเคมีในใบขี้เหล็ก พบว่ามีสารกลุ่มโครโมน (Chromone) ซึ่งมีฤทธิ์คลายเครียดและช่วยให้นอนหลับ เช่น แอนไฮโดรบาราคอล (anhydrobarakol) และกลุ่ม anthraquinones ซึ่งมีฤทธิ์ช่วยให้ถ่ายหรือระบายท้อง เช่น แอนโทรน และไดแอนโทรน (anthrone and dianthrone) เป็นต้น ซึ่งจากการศึกษาพบว่า ขี้เหล็กมีทั้งประโยชน์และโทษ การบริโภคขี้เหล็กโดยนำมาต้ม และทิ้งน้ำก่อนนำมาแกง ซึ่งเป็นวิธีที่สามารถช่วยลดปริมาณความเข้มข้นของสารพิษในขี้เหล็ก ทำให้ปลอดภัยในการนำมารับประทาน แต่เมื่อนำใบขี้เหล็กมาทำเป็นยาเม็ดโดยไม่ต้มน้ำทิ้ง จะส่งผลให้ปริมาณสารพิษยังคงมีปริมาณสูง ดังนั้นก่อนการรับประทานขี้เหล็กควรศึกษากรรมวิธีเตรียม และไม่ควรรับประทานอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะทำให้เกิดผลเสียมากกว่าผลดี
Subscribe to:
Posts (Atom)