หอมเทียม หอมบั่ว


ในตำรายาล้านนา ปรากฏคำว่าหอม อยู่หลายคำ ได้แก่ หอม หอมขาว หอมแดง หอมบั่ว และ หอมเทียม หอมอื่นๆ ที่อาจจะพบได้ เช่น ว่านหอมแดง
หอมเทียม (อ่านว่าหอมเตียม) น่าจะหมายรวมถึงหอมขาว (การใช้คำ หอมขาว มักใช้คู่กับหอมแดง) หมายถึง กระเทียม (Allium sativum Linn.)  หอมแดง หรือ หอมบั่วหมายถึง Allium ascalonicum Linn. ตระกูล Amaryllidaceae ทั้งสองชนิด (1) หอมเทียม และ หอมแดง (2) มักปลูกหลังปลูกหลังข้าวนาปี คือ “แถะตอเฟือง” หรือตัดตอข้าวให้ติดดินในที่นา แล้วใช้จอบพลิกดินตากระยะหนึ่ง แล้วจึงขึ้นเทิก หรือยกแปลงปลูก หอมแดง และหอมเทียม โดยการปลูกหอมเทียมและ หอมแดง นิยมปลูก”หอมเดือนยี่” (ประมาณเดือน พฤศจิกายน) เพื่อได้ผลผลิตที่เร็วกว่าที่จะปลูกหลังข้าวนาปี ซึ่งจะได้ผลผลิตออกมามาก ราคามักจะตกต่ำ ตำรายาล้านนา (3, 4) ใช้หอมเทียม และ หอมบั่ว เข้ายารักษา ดังนี้ หอมบั่ว ใช้ใน ยานัตถุ์เลือดขึ้น ใช้ใบตาล หอมบั่วแดง พริกน้อย (ดีปลี) เทียนทั้ง๕ บดเป็นยานัตถุ์สูบ ยาแก้ง้วนสาร (หมายถึงกินสารพิษเข้าไปในร่างกาย) ใช้หอมบั่ว ร่วมกับ หญ้าเยี่ยวหมู หัสคุณ จุ้งจาลิง (บอระเพ็ด)  ส่วนการใช้ภายนอกในยาฝี ไข้ ออกหู เป็นยาฝนประกอบด้วย หอมบั่ว จุ้งจาลิง ไม้ฝาง รากถั่วพู รากผักหวานบ้าน และ น้ำบ่อแก้ว ฝนทา

หอมเทียมใช้ในยามุตขึด ใช้หอมเทียม เครือเขาใหม่ พริกน้อย ทำเป็นยาลูกกลอน ยาภายนอกใช้ในยามีดพร้าบาด ใช้ข่า ไพล ขิง ผีเสื้อน้อย หอมเทียม พิดพิวแดง ผักแคบ คั้นเอาน้ำ ผสมน้ำมันงา หุงจนน้ำแห้งไว้ใช้ใส่แผลที่มีดบาด ส่วนยาแก้แมงเคียนกินหัว (หรือเชื้อราทำให้ผมร่วง) ใช้พริกน้อย ฮึนมะเขือแจ้ หอมเทียม บดผง ใส่น้ำมันดินทา นอกจากนั้นยัง ใช้หอมเทียมเข้าในยาแก้จุกเสียด ชื่อว่ายาพิชชคุณเข้าหัว ยาไฟท้องดับ และยาแก้ไอ ประกอบด้วย หัวคุก หัวค่า หัวข่า หัวกล้วยตีบ ปงกอก รากไม้สะเลียม เทียนทั้ง ๕ หอมขาว ดีปลี หมากเขือแจ้ ซะค้าน และอื่น ๆ 
สำหรับหอมเทียม มีตัวยาคือ สารอัลไลซิน ซึ่งเป็นน้ำมันหอมระเหย สารซัลไฟด์ และกำมะถัน จากส่วนที่เป็นหัวหอม ตำราเวียดนาม(5)

กล่าวว่าหัวมีสารประกอบที่มีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย แก้อักเสบ และ ขับพยาธิ ใช้ในการรักษา โรคบิด ทิงเจอร์ ที่มีหัวหอม 20% ใช้รักษาอาการไอ หลอดลมอักเสบ น้ำสกัดจากหัว ใช้รักษาอาการหวัด ยังสามารถรักษาไขมันคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ยาพอกจากหัวหอม ยังใช้รักษาฝี หนอง ได้อีกด้วย 
ข้อมูลทางแผนปัจจุบัน จัด หอมเทียม หรือกระเทียมเป็นสมุนไพร ในสาธารณสุขมูลฐาน จัดเป็นสมุนไพรที่ ที่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เชื้อรา และ ฆ่าไวรัส (6) อีกทั้งยังบรรเทาอาการไอ (7)ไม่มีเสมหะโดย ใช้ขิงแก่สดปอกเปลือก ตำให้แหลก แล้วคั้นน้ำ 1 ช้อนชา ผสมน้ำผึ้ง รับประทานวันละ 3 เวลา ติดต่อกัน 7 วัน หรือใช้กระเทียมสด 7 กลีบ ตำพอแหลกกลืนกับน้ำเล็กน้อยซ

: บทความโดย 
: รศ.ดร.ภญ.พาณี ศิริสะอาด
: ภาพประกอบโดย : สุภฎารัตน์ สุธีพรวิโรจน์

www.pharmacy.cmu.ac.th

สมุนไพรเบาหวาน

          กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ได้ทำการรวบรวมงานศึกษาวิจัยจากแหล่งข้อมูลต่างๆ พบรายงานวิจัยทั้งในไทยและต่างประเทศรวม 81 เรื่อง มีพืชสมุนไพร 54 ชนิด ที่สามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด โดยสมุนไพรที่มากรทดลองนั้นมาจากประสบการณ์การใช้ของชาวบ้านแล้วนำไปทดลอง ต่อ ซึ่งเราจะขอยกตัวอย่างสมุนไพรที่ช่วยลดระดับน้ำตาลในผู้ป่วยเบาหวาน ดังนี้


 1.  ช้าพลู (Wild Pepper)  ช้าพลู คู่เมี่ยงคำ ผักประจำ คนเบาหวาน
      ชื่อวิทยาศาสตร์   Piper sarmentosum Roxb.ex Hunter
      วงศ์  PIPERACEAE
      ช้าพลูเป็นผักพื้นบ้านที่คนนิยมรับประทานสดๆ เป็นส่วนประกอบของเมี่ยงคำ เชื่อกันว่าเป็นอาหารบำรุงธาตุ ช่วยย่อยอาหาร คนอิสานยังเชื่อว่าใบช้าพลูมีสรรพคุณแก้พิษของหอย จึงนิยมทำแกงกะทิหอยใส่ใบช้าพลู ภาคใต้นิยมนำช้าพลูมาช่วยในการย่อยอาหาร ขับลม แก้ไอ ขับเสมหะ
      ในประเทศไทยมีตำรับยาพื้นบ้านที่ใช้ช้าพลูทั้งห้าต้มแก้เบาหวาน ซึ่งใช้แพร่หลายในชาวบ้าน ต่อมามีการศึกษา โดยต้มช้าพลูทั้งห้า แล้วทดสอบในกระต่าย พบว่าช้าพลูต้มสามารถช่วยลดน้ำตาลได้ดีในกระต่ายที่เป็นเบาหวาน แต่ไม่ลดในกระต่ายปกติ
      นอกจากนี้ ช้าพลูจัดเป็นสมุนไพรที่เหมาะสำหรับการแนะนำผู้ป่วยเบาหวานเนื่องจากมีฤทธิ์ แอนตี้อ๊อกซิแด็นท์สูงมาก ทั้งยังมีปริมาณแคลเซียม วิตามินเอ วิตามินซี สูงมากชนิดหนึ่ง และไม่ลดน้ำตาลในคนปกติอีกด้วย จึงเหมาะสำหรับนำมาทานเป็นอาหาร เป็นชาหรือยาต้มในคนทั่วไปและผู้ป่วยเบาหวาน
      วิธีใช้  นำช้าพลูทั้งห้า(ทั้งต้นจนถึงราก) 1 กำมือ ต้มกับน้ำ 3 ขัน เคี้ยวให้เหลือ 1 ขัน รับประทานครั้งละ ครึ่งแก้วกาแฟก่อนอาหาร 3 มื้อ สรรพคุณ ช่วยลดน้ำตาลในเลือด

2.    มะระขี้นก (Bitter Cucumber)      ขมนักผักมะระขี้นก รูปร่างก็ตลก แต่ทั่วโลกยอมรับ กับการแก้เบาหวาน 
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Momordica charantia Linn.
     วงศ์  Cucurbitaceae
     มะระขี้นกจัดว่าเป็นสมุนไพรของไทย จีน พม่า อินเดีย แอฟริกาและอเมริกาใต้  และต่างรู้โดยทั่วกันว่ามีสรรพคุณในการรักษาเบาหวาน และในทุกภาคของไทยมีการใช้มะระขี้นกเป็นผัก ลวกจิ้มน้ำพริกทำอาหารร่วมกับผักอื่นๆ และส่วนใหญ่มักจะลวกก่อนเพื่อลดความขม
     มะระขี้ยกขึ้นง่ายปลูกเองได้ในบ้าน ยอดอ่อน ผลอ่อนนำมาปรุงอาหารได้ มีวิตามินเอและซีสูว รวมทั้งมีรายงานการศึกษาวิจัยสรรพคุณการลดน้ำตาลในเลือด พบว่า สามารถใช้ได้ทั้งในรูปแบบของน้ำคั้น ชาชง แคปซูล ผงแห้ง
     มะระชี้นกนั้นออกฤทธิ์คล้ายอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ยับยั้งการสังเคราะห์กลูโคส และเพิ่มการใช้กลูโคสของตับ องค์ประกอบทางเคมีของมะระขี้นกที่มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด คือ p-Insulin , Charantin และ Visine
ตำรับยา น้ำคั้นสดมะระขี้นก
          นำผลมะระขี้นกสด 8-10 ผล เอาเมล็ดในออก ใส่น้ำเล็กน้อย ปั่นคั้นเอาแต่น้ำดื่ม (ประมาณ 100 มล.) หรือรับประทานทั้งกากก็ได้ แบ่งรับประทานวันละ3เวลา ต่อเนื่อง
ตำรับยา ชามะระขี้นก
          เอาเนื้อมะระขี้นกผลเล็กซึ่งมีตัวยามากมาผ่าเอาแต่เนื้อหั่นชิ้นเล็กๆ ตากแดดให้แห้งแล้วชงกับน้ำเดือด โดยใช้ชินมะระ 1-2 ชิ้น ต่อน้ำ 1 ถ้วย ดื่มแบบชาครั้งละ 2 ถ้วย วันละ 3 เวลา หรือต้มเอาน้ำมาดื่มก็ได้
          หรือ ใส่กระติกน้ำร้อนต้มดื่มแทนน้ำ ไม่เกิน 1 เดือน เห็นผล
ตำรับยา ทำแคปซูล หรือลูกกลอน มะระขี้นก
          รับประทานมะระขี้นก 500-1000 มก. วันละ 1-2 ครั้ง
ข้อควรระวัง คนท้อง เด็ก คนที่ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำไม่ควรรับประทาน

3.   เตยหอม (Pandan)  หอมทั้งตัว คู่ครัวไทย บำรุงหัวใจ ใช้ลดน้ำตาล
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Pandanus amaryllifolius Roxb. 
     วงศ์  PANDANACEAE
     ใบเตยหอมอยู่คู่กับอาหารคาวหวานนานาชนิด และมีการใช้มาอย่างยางนาน หมอยาสมัยก่อน นิยมใช้รากเตย เป็นยาขับปัสสาวะ ลดความดัน ลดเบาหวาน และใช้ทุกส่วนในการบำรุงหัวใจให้ชุ่มชื้น แก้อ่อนเพลีย ส่วนของใบใช้แก้ไข้ แก้ร้อนใน รักษาโรคหัด อีสุกอีใส ปัจจุบันมีการศึกษาฤทธิ์เภสัชวิทยา พบว่า เตยหอม มีฤทธิ์ลดน้ำตาลในเลือด ลดความดันโลหิต ลดอัตราการเต้นหัวใจ ขับปัสสาวะ แต่ทั้งนี้ยังไม่มีการทดลองทางคลินิก
     ทว่า เมืองไทยเรามีการใช้เตยหอมในการรักษาเบาหวานมานาน แม้ส่วนที่ใช้จะเป็นราก แต่เราสามารถเติมน้ำคั้นจากใบเพื่อแต่งกลิ่นได้ และคนที่ไม่เป็นเบาหวานก็ทานได้เช่นกัน
     วิธีใช้
              นำรากเตยหอมประมาณ 1 ขีด สับเป็นท่อนเล็กๆ ต้มกับน้ำ 1 ลิตร  ต้มเดือด จากนั้นเคี่ยวต่อประมาณ 15-20  นาที นำยาที่ได้ดื่มครั้งละ ครึ่งแก้ว วันละ 3 มื้อ  หรือใช้ใบเตยร่วมกับสมุนไพรตัวอื่น
              ใบเตยหอม 32 ใบ ใบสัก 9 ใบ นำมาหั่นตากแดด แล้วชงดื่มแบบชา หรือใส่หม้อดินต้ม รับประทานยาต่างน้ำทุกวัน
     ข้อแนะนำ  ควรรับประทานต่อเนื่องอย่างน้อย 1 เดือน

4.  กะเพรา (Holy Basil)  กะเพรา ผักเทพเจ้า ดูแลเราเรื่องเบาหวาน และการมีชีวิตที่ยืนยาว
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Ocimum sanctum L. 
     วงศ์  Labiatae
     กะเพรา เป็นพืชที่คนอินเดียบูชา และในฐานะตัวแทนเทพเจ้า กะเพราะจัดเป็นสมุนไพรที่ค่าทางยามากที่สุดชนิดหนึ่งของการแพทย์อายุรเวท โดยใช้กะเพราเป็นยารักษาเบาหวาน แก้ท้องเสีย ท้องผูก ท้องอืดท้องเฟ้อ แก้ไอ แก้หอบหืด ปัญหา   ของโรคหัวใจและหลอดเลือด ข้ออักเสบ และโรคระบบทางเดินหายใจ และที่นิยมใช้กะเพรารักษาอีกโรคคือ โรคเครียด เนื่องจากมีคุณสมบัติในการคลายเครียดได้ดี
     ปัจจุบันมีการศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่ากะเพรามีฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน รักษาหืด ต้านความเครียด ยับยั้งการเกิดมะเร็ง ต้านฮีสตามีน ต้านอนุมูลอิสระ ต้านการอักเสบ แก้ไข้ แก้ปวด ลดคลอเลสเตอรอล และที่สำคัญคือลดน้ำตาลในเลือด
พบ ว่า ใบกะเพราทำให้เซลล์ตับอ่อนผลิตอินซูลินได้ดีขึ้น  และการวิจัยในผู้ป่วยเบาหวาน การให้ผงใบกะเพราวันละ 2.5 กรัม 4 สัปดาห์ สามารถลดน้ำตาลในเลือดได้ (เหมาะกับผู้ที่เป็นเบาหวานเล็กน้อยถึงปานกลาง)
     วิธีใช้
            ใช้ผงใบกระเพราทำชา ประมาณ 1 ช้อนชา น้ำร้อน 1 ถ้วย ดื่ม วันละ 3 ครั้ง
            แคปซูลกะเพรา รับประทานวันละ 2.5 กรัมต่อวัน หรือน้ำมันกะเพรา 2-5 หยด ต่อวัน
     ข้อควรระวัง ไม่ควรใช้กะเพรา ในคนท้องและหญิงให้นมบุตร


5.    ตำลึง (Ivy gourd)  ผักต้านอนุมูลอิสระ เอาชนะเบาหวาน มีสารวิตามินมากมาย
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Coccinia grandis (L.) Voigt 
     วงศ์  Cucurbitaceae
     ตำลึง จัดเป็นผัก สมุนไพรที่หาง่าย คุณค่าทางอาหารสูง และมีข้อมูลการใช้ในตำรับยาอายุรเวทในการรักษาเบาหวานมานานนับพันปี รวมถึง มีการศึกษาวิจัยมากมายและน่าเชื่อถือได้
     ตำลึงแสดงผลการลดน้ำตาลทั้งในสัตว์ทดลองและในคน สามารถใช้ได้ทั้งส่วนที่เป็น ใบ ราก ผล เป็นผักที่มีวิตามินเอ สูงมาก รองมาจากใบยอ แมงลัก โหระพา มีวิตามินซีสูงมากกว่ามะนาว (วิตามินซี 30 มก.ต่อ 100 ก. มะนาวมี 20 มก.)  มีวิตามินบี 3 ช่วยบำรุงผิวหนัง มีธาตุเหล็ก ช่วยบำรุงเลือด นอกจากนี้ยังช่วยระบายมีกากใยสูงอีกด้วย
     วิธีใช้
           นำยอดตำลึง 1 กำมือ หรือขนาดที่กินพออิ่ม โรยเกลือ หรือเหยาะน้ำปลา (เพื่อความอร่อย) ห่อด้วยใบตองเผาไฟจนสุก แล้วกินให้หมดหรือกินจนอิ่ม กินก่อนนอนติดต่อกันสามเดือน

6.    ว่านหางจระเข้ (Aloe)  สมุนไพรมหัศจรรย์พันปี ของดีของผู้ป่วยเบาหวาน ใครต้องการ ก็ปลูกง๊าย..ง่าย..
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Aloe vera Linn. 
     วงศ์   Aloaceae
     ว่าน หางจระเข้ เป็นสมุนไพรที่มีการใช้มานานนับพันปี ในตำราสมุนไพรที่ชื่อของกรีก รายงานการใช้ว่านหางจระเข้อย่างละเอียดพิสดาร ตั้งแต่การใช้รักษาบาดแผล นอนไม่หลับ กระเพาะอาหารทำงานไม่ปกติ ปวดหัว ผมร่วง โรคเหงือกและฟัน โรคผิวหนังพอง ถูกแดดเผา ผิวด่างดำ ช่วยบำรุงผิวหนัง
     ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยประโยชน์ว่านหางจระเข้ทั้งทางยาและเครื่องสำอาง ในส่วนที่เป็นยานั้นพบว่าช่วยลดน้ำตาลในเลือดทั้งในคนและสัตว์ทดลอง กระตุ้นการเผาผลาญของร่างกาย ดังนั้นจึงเหมาะในผู้ป่วยเบาหวาน
     วิธีการใช้
           รับประทาน เนื้อว่านหางจระเข้สดวันละ 15 กรัม ทุกวัน ติดต่อกันอย่างน้อย 4 สัปดาห์

7.     อบเชยจีน (Chinese Cinnamon) เครื่องเทศของคนรุ่นใหม่ ต้านภัยเบาหวาน
     ชื่อวิทยาศาสตร์   Cinnamomum camphora ( L . ) J.S. Presl  / Cinnamomum aromaticum Nees
     วงศ์   Lauraceae. 
     อบเชยจีนเป็นพืชประจำถิ่นแถวเอเชียใต้ มีการบันทึกการใช้เป็นยามาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นเครื่องเทศสำคัญจากเอเชียสู่ยุโรป นอกจากการเป็นเครื่องเทศ และเครื่องหอมแล้ว ยังมีการใช้เป็นยาสำหรับรักษาไซนัส หวัด หวัดใหญ่ มะเร็ง  ล่าสุด ได้มีการค้นพบสรรพคุณของอบเชย โดยมีสรรพคุณช่วยในการลดระดับน้ำตาลในเลือด ในอบเชย มีสาร Methylhydroxy Chalone Polymer(MHCP) ที่ทำให้เซลล์ไขมันตอบสนองต่อการทำงานของอินซูลินได้มากขึ้น ทำให้อินซูลินทำงานได้มีประสิทธิภาพ รวมทั้งยังมีฤทธิ์เหมือนอินซูลินคือช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดด้วย
     นอกจากลดน้ำตาลในเลือดได้แล้ว อบเชยจีนยังช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ ลดไขมันตัวร้ายLDL และลดคลอเลสเตอรอลได้ด้วย
     วิธีใช้
           รับประทานผงอบเชยจีนประมาณ 1 ช้อนชาต่อวัน แบ่งเป็นเช้าครึ่งช้อนชา เย็นครึ่งช้อนชา รับประทานกับเครื่องดื่มเช่น นม โอวัลติน ชา กาแฟ โยเกิร์ต หรือบรรจุแคปซูลรับประทานได้ ควรรับประทานติดต่อกันอย่างน้อย 20 วัน นอกจากนี้เพียงเอาชิ้นอบเชยแช่ในถ้วยชาก็สามารถใช้ลดน้ำตาลได้ และการรับประทานในปริมาณที่สูงหรือต่ำนั้นก็ทำให้ความสามารถในการลดน้ำตาล ไม่ต่างกัน
     หมายเหตุ  ถ้าไม่มีอบเชยจีน สามารถใช้อบเชยอื่นๆได้

8.    อินทนิลน้ำ (Queen's Flower)  ไม้ป่าดอกสวย ช่วยคนเบาหวาน
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Lagerstroemia speciosa (L.) Pers 
     วงศ์  LYTHRACEAE
     อินทนิลน้ำเป็นไม้ต้น ผลัดใบ พบทั่วไปตามที่ราบลุ่มและบริเวณฝั่งแม่น้ำ ป่าเบญจพรรณ และป่าดงดิบทั่วทุกภาค จัดเป็นสมุนไพรที่มีดอกสวย ดอกช่อสีม่วงอมชมพู และยังเป็นสมุนไพรยอดนิยมในการรักษาเบาหวานมาแต่โบราณของไทย
     ปัจจุบันมีการศึกษาพบว่าอินทนิลน้ำมีฤทธิ์ลดระดับน้ำตาลในเลือด โยมีสาระสำคัญชื่อ Corosolic acid ออกฤทธิ์เหมือนอินซูลิน จัดเป็นอินซูลินจากธรรมชาติ ไม่พบผลข้างเคียง ทั้งยั้งช่วยชะลอการย่อยแป้งในระบบทางเดินอาหาร และทำให้การลำเลียงน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ดีขึ้น  โดยใบอินทนิลน้ำที่ดีเหมาะกับการนำมาทำยาคือใบแก่ ใกล้ผลัดใบ นอกจากนี้เมล็ดแห้งของอินทนิลน้ำก็สารถช่วยลดน้ำตาลได้เช่นกัน
ตำรับยา
   1 ใบอินทนิลน้ำแก่ 100 กรัม  น้ำสะอาด 1 ลิตร ต้มให้เดือด จากนั้นเคี่ยวไฟอ่อนต่อไปอีก 15 นาที ดื่มเป็นยาครั้งละ 1 ถ้วยชา เช้า กลางวัน เย็น  ดื่มต่อเนื่องประมาณ 3 สัปดาห์ จึงสังเกตผลได้
   2 ใบอินทนิลน้ำแห้ง 8-9 ใบ คั่วให้กรอบ นำมาต้มน้ำ กินต่างน้ำชา สามารถต้มแช่ตู้เย็นเก็บไว้ได้ ดื่มได้เรื่อยๆ กินติดต่อกันอย่างน้อย 12 หม้อ
     ข้อควรระวัง   เด็ก คนท้อง และมารดาระหว่างให้นมบุตร คนที่มีภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ห้ามใช้อินทนิลน้ำ  ในคนที่เป็นเบาหวานควรมีการตรวจวัดระดับน้ำตาลในเลือดประจำเพื่อปรับขนาดยา

9.    หว้า ผลไม้ในอดีตของเด็กไทย ต้านภัยเบาหวาน
     ชื่อวิทยาศาสตร์  Syzygium cumini (L.) Skeels 
     วงศ์  MYRTACEAE
     ลูกหว้าเป็นผลไม้ป่า นกก็ชอบกิน คนก็ชอบกิน มีรสเปรี้ยว ฝาด หวาน เวลากินแล้วปากจะดำ สามารถใช้ประโยชน์ได้หลากหลายนอกจากเป็นผลไม้กินเล่น เช่น ทำเป็นไวน์ แยม ทำน้ำสมุนไพร
     มีการศึกษาประโยชน์ของหว้าทั้งในสัตว์ทดลองและในคน ถึงฤทธิ์ของการลดน้ำตาลในเลือดพบว่า มีฤทธิ์ยับยั้งการทำลายอินซูลิน ช่วยเพิ่มปริมาณอินซูลิน กระตุ้นการหลั่งอินซูลิน ลดระดับน้ำตาลในเลือด ยับยั้งเบาหวาน เพิ่มปริมาณไกลโคเจน ในตับและแม้แต่ในอเมริกาก็มีการยืนยันว่าสารสกัดด้วยน้ำของเมล็ดหว้ามี ประโยชน์ต่อผู้ป่วยเบาหวาน
     ตำรับยา  ยาต้มเมล็ดลูกหว้า
     1 เมล็ดสดของลูกหว้า 100 กรัม (1ขีด)  2 น้ำสะอาด 1 ลิตร
     นำเมล็ดลูกหว้ามาโขลก ใส่หม้อต้มให้เดือด เคี่ยวไฟอ่อนๆสัก 15 นาที ให้ตัวยาออกมา รับประทานครั้งละ 1 ถ้วยชา วันละ 3 มื้อ เป็นเวลา 1 เดือน อาการเบาหวานจะทุเลา สามารถลดยา หรือใช้สมุนไพรในการดูแลอย่างเดียวได้ แต่ควรวัดระดับน้ำตาลในเลือดเสมอ (สามารถใช้เมล็ดแห้งแทนได้ กรณีไม่มีเมล็ดสด)
     ตำรับยา ยาผงหรือแคปซูลหว้า
     ผงเมล็ดลูกหว้าแห้ง 250 มิลลิกรัม  นำผงเมล็ดลูกหว้าแห้งบรรจุแคปซูล หรือใช้ระลายน้ำ รับประทานวันละ 3 เวลา ขนาดอาจเพิ่มได้ถึง 4 กรัมต่อวัน รับประทานติดต่อกัน 1 เดือน สังเกตผลระดับน้ำตาลในเลือด
     การใช้เป็นอาหารสุขภาพ
                น้ำลูกหว้า อาจใช้ผลสดหรือแห้ง นำมาต้มเป็นน้ำสมุนไพร สำหรับผู้ป่วยเบาหวานได้เช่นกัน
 
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร ศูนย์สารสนเทศสมุนไพร 037-211289 ในวันเวลาราชการค่ะ

แหล่งข้อมูล http://www.abhaiherb.com

สมุนไพรบํารุงไต



ใครก็ตามที่เป็นโรคไตมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องระมัดระวังในเรื่องของอาหารการกิน เพราะไตมีหน้าที่หลักคือ การขับน้ำและของเสียออกจากร่างกาย หากมีปัญหาเกี่ยวกับไต ก็ต้องยอมรับก่อนว่า อวัยวะกำจัดขยะออกจากร่างกายของคุณมีประสิทธิภาพไม่ดีพอ อย่างแรกที่ต้องมาเน้นกันมากกว่าอาหารบำรุงไตคือ อาหารที่จะกลายเป็นขยะในตัวคุณ ซึ่งหากคุณกินเข้าไปมากเกินไปก็จะเป็นภาระให้ไตที่มีปัญหาอยู่ก่อนทำงานหนักยิ่งขึ้น

อาหารที่ควรจะต้องระมัดระวังสำหรับคนเป็นโรคไตได้แก่

1. อาหารที่มีเกลือโซเดียมมากเกินไป คนที่เป็นโรคไตมักจะถูกห้ามไม่ให้กินเค็ม เกลือ น้ำปลา ซีอิ๊ว มีเกลือผสมอยู่ด้วยทั้งนั้น ไตที่มีปัญหามักจะขับโซเดียมออกจากร่างกายได้น้อยลง ทำให้เกลือค้างอยู่ในร่างกาย เมื่อเกลือในร่างกายมีมาก มันจะอุ้มน้ำเอาไว้มากเกินไป จนคนที่เป็นโรคไตมีอาการบวม แนะนำว่าคนที่เป็นโรคไตต้องกินอาหารที่ไม่เค็ม

แต่บ้านเราที่จะเป็นปัญหามากกว่าคือเกลือที่มีรสหวาน คนที่เป็นโรคไตจะต้องถูกห้ามไม่ให้กินผงชูรสด้วยจึงจะถูก เพราะโมโนโซเดียมกลูตาเมทที่เป็นผงชูรสนั้นก็คือเกลือโซเดียมดี ๆ นี่เอง การกินอาหารนอกบ้านที่มีแต่ผงชูรสไม่เหมาะอย่างยิ่งสำหรับคนเป็นโรคไต 
 

2. อาหารโปรตีนจะต้องไม่มากเกินไป ความเป็นจริงคือในแต่ละวันร่างกายใช้อาหารโปรตีนไม่มาก ที่เหลือมันจะโยนทิ้งทางไตหมด ไม่เคยเก็บสะสมไว้ เช่น ขนาดที่หากกินวัวทั้งตัวเข้าไป ร่างกายมันจะใช้เนื้อวัวนิดเดียวประมาณ 100-180 กรัมเท่านั้น โปรตีนที่เหลือมันจะขับออกทางไตทั้งหมด

หากคนที่เป็นโรคไตกินโปรตีน ประเภทเนื้อวัว หมู ไก่ ปลา นม ไข่ มากเกินไป ไตที่ป่วยอยู่แล้วจะทำงานหนักมากกว่าเดิม ดังนั้น แนะนำว่าในแต่ละวัน อาหารที่เป็นเนื้อสัตว์น่าจะมีปริมาณวันละเท่ากับ 1 ฝ่ามือของคุณเท่านั้น
ทีนี้สำหรับคนที่เป็นโรคไตเนฟโฟรติก มีการสูญเสียโปรตีนในปัสสาวะ ให้ใช้วิธีกินโปรตีนคุณภาพสูงเข้าไปทดแทน คือกินเฉพาะไข่ขาวในระหว่างที่ตรวจพบโปรตีนในปัสสาวะ วิธีนี้จะดีกว่าการกินอาหารโปรตีนมาก ๆ เพื่อป้องกันการสูญเสียทางไตเอาไว้ก่อน แนะนำว่า ให้กินไข่ขาววันละ 4-6 ฟองจะช่วยทดแทนโปรตีนที่สูญเสียไปกับปัสสาวะในแต่ละวัน หากไม่มีโปรตีนรั่วออกมาในปัสสาวะแล้วก็ให้งดการกินไข่ขาวไป

3. สารปนเปื้อนในอาหารทุกชนิดต้องงดเด็ดขาด เช่น สีผสมอาหาร กลิ่นสังเคราะห์ รสชาติสังเคราะห์ สารกันบูด กันเชื้อรา ฯลฯ เพราะสารเคมีเหล่านี้ล้วนเป็นภาระให้ไตต้องขับออกนอกร่างกาย ทำให้ไตทำงานหนักโดยใช่เหตุทั้งสิ้น ดังนั้นควรเลี่ยงอาหารสำเร็จรูปจากซูเปอร์มาร์เก็ต
ทีนี้มาว่าด้วยอาหารบำรุงไตกันบ้าง ก็คงต้องเริ่มต้นจากสมุนไพรนั่นแหละ สมุนไพรบางอย่างก็นำมากินเป็นอาหารได้ บางอย่างก็ไม่ได้ ลองใช้วิจารณญาณเอาดังต่อไปนี้
สมุนไพร บำรุงไตสามารถแยกออกได้เป็น 2 ประเภท ประเภทที่บำรุงไตโดยตรง แก้กระษัย ไตพิการจริง ๆ และประเภทที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ ซึ่งจะช่วยขับน้ำออกจากร่างกายเหมาะสำหรับคนที่ไตมีปัญหาขับน้ำและเกลือแร่ ออกจากร่างกายไม่เก่ง
สมุนไพรไทยบำรุงไต อาจจะต้องใช้เป็นประจำทุกวัน สมุนไพรที่มีอยู่ทั่วไป ที่พอจะหาได้ง่าย และสามารถนำไปใช้โดยไม่มีผลข้างเคียง ยกตัวอย่างเช่น

- เกสรหรือไหมข้าวโพดและซังข้าวโพด เอาตากแห้งแล้วต้มน้ำดื่มแทนน้ำ
   สรรพคุณ : แก้ไตอักเสบ ขับปัสสาวะ แก้บวมน้ำ
- ใบข่อย ใช้ต้มน้ำแบบใบชาดื่มแทนน้ำ
  สรรพคุณ : แก้ไตพิการ ขับปัสสาวะ
- ใบ ต้น และรากหรือเหง้าของเตย ต้มดื่มแทนน้ำ
 สรรพคุณ : แก้กระษัย ไตพิการ ขับปัสสาวะ
- ดอกบานไม่รู้โรยเฉพาะดอกสีขาว ใช้ต้มน้ำดื่มแบบน้ำชาแทนน้ำ
สรรพคุณ : แก้กระษัย แก้โรคทางเดินปัสสาวะ ขับปัสสาวะ
- เปลือก เหง้า และตะเกียงสับปะรด ต้มกับน้ำจนเดือด เคี่ยวนาน 15 นาที
              
สรรพคุณ : แก้กระษัย บำรุงไต ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว
- หญ้าใต้ใบทั้งต้น ต้มกับน้ำจนเดือด เคี่ยวนาน 15 นาที
สรรพคุณ : กระตุ้นสมรรถภาพไต
- ต้นหญ้าหนวดแมว หั่นตากแห้งชงกินแบบน้ำชาต่างน้ำ
สรรพคุณ : แก้กระษัย ทำให้ไตมีกำลัง ขับปัสสาวะ แก้นิ่ว
- ถั่วเหลือง กินเป็นนมถั่วเหลือง หรือเต้าหู้ เป็นประจำ หรือจะใช้สารสกัดจากถั่วเหลืองที่ชื่อไอโซฟลาโวน หรือเจนีสเตอิน ครั้งละ 1 เม็ด (25 -30 มก.) วันละ 2 ครั้ง หลังอาหาร
สรรพคุณ : เสริมสมรรถภาพไต ทำให้ไตทำงานได้ดีขึ้น
- ผลหม่อน กินสดทั้งผล มีสารประกอบของวิตามินซี ไบโอฟลาโวนอยด์สูงมาก
สรรพคุณ : บำรุงไต แก้อาการอักเสบของเนื้อไต


สมุนไพรขับปัสสาวะ มีสมุนไพรไทยหลายชนิดที่มีฤทธิ์ขับปัสสาวะ เป็นการขับเอาน้ำออกจากร่างกาย ลดอาการบวมน้ำได้ดี ที่หาได้ง่ายและไม่มีผลข้างเคียง สามารถเอามาต้มน้ำดื่มหรือกินเป็นอาหารได้เช่น ลูกเดือย ใบเตย น้ำเต้า ตะไคร้ กระเจี๊ยบ กระชาย บวบเหลี่ยม อ้อย (ลำต้น) เป็นต้น
บทความโดย พญ.ลลิตา ธีระสิริ

สมุนไพรขับปัสสาวะ

อาการขัดเบา อาการปัสสาวะลำบาก จำนวนปัสสาวะแต่ละครั้งน้อย ปัสสาวะบ่อยหรือปวดแต่ปัสสาวะไม่ออก ในบางโรคมีอาการปวดท้องน้อย เสียงหรือปัสสาวะขุ่นขาวขุ่นแดงร่วมด้วย สาเหตุของอาการขัดเบามีมาก เช่น หนองใน หนองในเทียม กระเพาะปัสสาวะอักเสบ นิ่ว ต่อมลูกหมากโต หรือดื่มน้ำน้อย เป็นต้น

สมุนไพรขับปัสสาวะ เป็น สมุนไพรที่ทำให้จำนวนน้ำที่ขับออกมาจากร่างกายเพิ่มขึ้นมักนำมาใช้กับอาหาร ที่ไม่รุนแรง ซึ่งเกิดจากสาเหตุดังนี้ คือ นิ่วขนาดเล็กในไตหรือท่อไต ได้รับการตรวจวินิจฉัยโรคจากแพทย์แผนปัจจุบันและไม่ต้องรักษาโดยวิธีผ่าตัด สมุนไพรขับปัสสาวะจะเพิ่มจำนวนปัสสาวะ ทำให้นิ่วขนาดเล็กหลุดออกมา อาจมีผลในการละลายก้อนนิ่วที่มีอยู่ได้บ้าง ฉะนั้นผู้ป่วยโรคนิ่วทางเดินปัสสาวะที่มีก้อนนิ่วขนาดใหญ่ โดยเฉพาะนิ่วที่อุดตันทางเดินปัสสาวะบริเวณใดบริเวณหนึ่งไว้ ไม่ควรใช้สมุนไพรขับปัสสาวะ เนื่องจากจำนวนปัสสาวะที่เพิ่มไม่สามารถผ่านส่วนที่อุดตันลงมาได้ ในทางตรงกันข้ามจะทำให้แรงดันในไตหรือทางเดินปัสสาวะเพิ่มมากขึ้น อาการปวดจะเพิ่มขึ้นและอาจเกิดอันตรายได้ ส่วนอาการขัดเบาที่เกิดจากเนื้อไตอักเสบ กระเพาะปัสสาวะอักเสบ ติดเชื้อกามโรคบางชนิด เช่น หนองใน ไม่จำเป็นต้องใช้สมุนไพรจำพวกนี้ ควรรักษาที่สาเหตุคือ ใช้ยาปฏิชีวนะ เพื่อฆ่าเชื้อ สมุนไพรขับปัสสาวะส่วนใหญ่ไม่มีฤทธิ์ในการฆ่าเชื้อ ข้อควรระวังสำหรับการใช้สมุนไพรขับปัสสาวะ คือ สมุนไพรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่มักมีเกลือโปตัสเซียมหรือโซเดียมค่อนข้างสูง จึงไม่ควรใช้ในผู้ป่วยโรคหัวใจและสตรีมีครรภ์

สมุนไพรในกลุ่มนี้ ได้แก่

กระเจี๊ยบ ใช้ผงกระเจี๊ยบครั้งละ 1 ช้อนชา ชงกับน้ำเดือด 1 ถ้วย (250 มิลลิลิตร) รินเฉพาะส่วนใส ดื่มจนหมดวันละ 3 ครั้ง
     ข้อควรระวัง น้ำกระเจี๊ยบมีฤทธิ์ระบาย อาจทำให้ผู้ที่ดื่มน้ำกระเจี๊ยบมีอาการท้องเสียได้เล็กน้อย

 



            
ขลู่ ใช้ ต้นสดหรือแห้งทั้งต้น วันละ 1 กำมือ (สด หนักประมาณ 40-50 กรัม ถ้าแห้งหนักประมาณ 15-20 กรัม) ต้มกับน้ำ แบ่งดื่มก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร) วันละ 3 ครั้ง

 



ชุมเห็ดไทย เมล็ดชุมเห็ดไทยมีสารกลุ่มแอนทราควิโนน ซึ่งมีฤทธิ์ระบาย แม้ขนาดที่ใช้เป็นยาขับปัสสาวะจะน้อยกว่าขนาดที่ใช้เป็นยาระบาย พบว่าบางคนอาจมีอาการท้องเสียร่วมกับฤทธิ์ขับปัสสาวะได้


 

ตะไคร้ ใช้ ต้นสด วันละ 1 กำมือ หหรือหนัก 40-60 กรัม ต้มกับน้ำ 3-4 ถ้วยชา แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ครั้งละ 1 ถ้วยชา (75มิลลิลิตร) ก่อนอาหาร หรือใช้เหง้า ฝ่าเป็นแว่นบางๆ คั่วไฟอ่อนพอเหลือง ครั้งละ 1 หยิบมือ ชงกับน้ำ 1 ถ้วยชา รินเฉพาะส่วนใสดื่มจนหมด วันละ 3 ครั้ง เมื่อปัสสาวะคล่องให้หยุดยา

 



                                                               หญ้าคา ใช้รากและเหง้าสดหรือแห้ง วันละ 1 กำมือ (พืชสดหนัก 40-50 กรัม พืชแห้งหนัก 10-15 กรัม) ต้มกับน้ำ 1 ถ้วยแก้ว (250 มิลลิลิตร) แบ่งดื่มวันละ 3 ครั้ง ก่อนอาหารครั้งละ 1 ถ้วยชา (75 มิลลิลิตร)

 
หญ้าหนวดแมว ใช้ใบและก้านแห้ง ครั้งละ 1 หยิบมือ (4-5 กรัม) ต้มกับน้ำ 1 ขวดน้ำปลา (750 มิลิลิตร) โดยต้มน้ำให้เดือด ใส้หญ้าหนวดแมวแล้วยกหม้อลงจากเตา ปิดฝาหม้อทิ้งไว้ 15-20 นาที รินเฉพาะส่วนใสดื่ม
ข้อควรระวัง
1. ในการปรุงยา ไม่ควรต้มเคี่ยว จะทำให้กลิ่น รส ไม่ดี ถ้าต้มข้นเกินไปจะมีรสขม ทั้งยังทำให้ผุ้ดื่มได้รับยามากกว่าปกติ อาจมีอาการมึนงง คลื่นไส้ เหนื่อย หายใจผิดปกติ ชีพจรเต้นผิดปกติ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจควรระวังให้มากกว่าเป็นพิเศษ
2. อาจใช้ใบหรือต้นสดต้มกินก็ได้ แต่รสชาติจะเหม็นเขียว จะมีรายงานว่าผู้ที่เคยใช้หญ้าหนวดแมวสดหลายราย รู้สึกคลื่นไส้และใจสั่น ฉะนั้นควรใช้ใบที่ตากแดดจนเป็นสีน้ำตาล ซึ่งนอกจากจะไม่มีกลิ่นเหม็นเขียวแล้ว น้ำยาจะมีกลิ่นหอม รสขมเล็กน้อย
3. ควรปลูกและเก็บไว้ใช้เอง เพราะหญ้าหนวดแมวแห้งที่ซื้อจากร้านขายยานั้นมักจะมีใบน้อยแต่มีต้นแก่ปนมา มาก และส่วนใหญ่ใบแก่อาจก่อให้เกิดอาการข้างเคียง
4. ภายหลังดื่มยาอาจเกิดอาหารระคายคอเล็กน้อย

แหล่งข้อมูล http://thaiherb.most.go.th/?q=node/579

สูตรสมุนไพรแก้ปวดเมื่อยคอ


   อาการตกหมอนหรือคอเคล็ด ถึงแม้จะดูเป็นเรื่องไม่รุนแรงนัก แต่ก็ไม่ควรละเลย เพราะเวลานอนถือว่าเป็นเวลาพักผ่อนที่มีค่ายิ่งของคนเรา นอกจากการได้นอนหลับลึกหลับสนิทตามแบบฉบับของชีวจิตแล้ว การที่เราจะตื่นขึ้นมาเจอเช้าวันใหม่ที่สดใสโดยปราศจากความปวดเมื่อยก็เป็น อีกเรื่องที่ดีไม่น้อยใช่ไหมคะ หากคุณเคยมีประสบการณ์นอนตกหมอน คงรู้ซึ้งถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี แต่อย่าเพิ่งกังวลใจไปค่ะ เพราะเรามีวิธีธรรมชาติบำบัดอาการปวดคอ เหตุจากนอนตกหมอนมาฝากกัน แต่ก่อนอื่นเราควรรู้วิธีป้องกันไว้ก่อนดังนี้ค่ะ
ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม
  • เปลี่ยนหมอนหนุนให้เหมาะสม ไม่สูงหรือเตี้ยเกินไป ทดลองนอนดู ควรใช้หมอนที่มีความยืดหยุ่นเหมาะสม รับกับต้นคอพอดี หรืออาจจะใช้หมอนหนุนเฉพาะคอ ไม่หนุนศีรษะ หมอนดังกล่าวนี้อาจจะหาซื้อได้ หรือใช้หมอนข้างอันเล็กๆ มาหนุนแทน หมอนพิเศษนี้จะทำให้ศีรษะอยู่ในท่าพักตลอดเวลาที่เรานอน
  • สำรวจท่านอนที่ถูกลักษณะ สังเกตท่านอนที่เป็นธรรมชาติที่สุด ทั้งท่านอนหงายและท่านอนตะแคง ถ้าปกติคุณนอนคว่ำ ลองเปลี่ยนท่าเป็นนอนหงายบ้าง เพราะอาการตกหมอนมักจะเกิดได้ในเวลาที่เราหลับสนิทอยู่ในท่าเดียวนานเกินไป ได้
  • ปรับอิริยาบถให้ถูกต้อง ไม่ว่าจะยืนหรือนั่ง พยายามให้หู ไหล่ และสะโพกอยู่ในแนวเดียวกันเพราะอาการปวดคอส่วนใหญ่เกิดจากท่าทางที่ไม่ถูก ต้อง ทำให้กล้ามเนื้อเกิดความตึงเครียด เช่น ถ้าต้องนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ ปรับจอให้พอดีโดยคุณไม่ต้องก้มหน้าหรือเงยหน้าตลอดเวลาที่ใช้งานอยู่
  • อย่าหนีบหูโทรศัพท์ไว้ตรงซอกคอ เพราะอาจทำให้กล้ามเนื้อบริเวณคอของคุณอ่อนล้าและคอเคล็ดได้ ถ้าต้องคุยโทรศัพท์บ่อยๆ ควรใช้หูฟังแทน
  • หลีกเลี่ยงการใส่รองเท้าส้นสูง ซึ่งมีส่วนทำให้คุณปวดคอได้จากการที่กระดูกสันหลังต้องกระดกขึ้นส่งผลให้คอของคุณยื่นไปด้านหน้า
  • ผ่อนคลายก่อนเข้านอน การเข้านอนในขณะที่ยังมี ความเครียดอยู่ เมื่อตื่นขึ้นในตอนเช้า อาจทำให้ปวดต้นคอได้ ดังนั้น ก่อนเข้านอนควรอาบน้ำให้สะอาด ผ่อนคลายด้วยการหายใจเข้าหายใจออกลึกๆ เมื่อร่างกายเริ่มสบายขึ้นก็เข้านอนได้
     แต่ถ้ามีการตกหมอนแล้วจะทำอย่างไร เรามีวิธีง่ายๆ ที่คุณสามารถทำเองได้มาแนะนำค่ะ
สมุนไพรแก้ปวดเมื่อยคอ

   อาการปวดเมื่อยคอที่เกิดจากการนอนตกหมอนหรือภาวะความเครียด สามารถใช้สมุนไพรที่ออกฤทธิ์ผ่อนคลายช่วยได้ นอกจากการใช้สมุนไพรธรรมชาติจะเป็นวิธีที่ปลอดภัยแล้ว ยังช่วยปรับความสมดุลของร่างกาย เพื่อแก้ไขความเจ็บป่วยของอวัยวะต่างๆ ได้อย่างดี เริ่มต้นด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ่งดังต่อไปนี้
  • ใช้ใบพลับพลึงลนไฟให้ร้อนจนใบนิ่ม นำมาพันบริเวณที่ปวดคอ ทำวันละ 1-2 ครั้ง ด้วยสรรพคุณทางยาของใบพลับพลึง จึงช่วยแก้อาการปวดเมื่อยและเคล็ดขัดยอกได้
  • ใช้น้ำมันมะกอกหรือน้ำมันงาทาถูนวดเบาๆ บริเวณที่ปวดนานประมาณ 15 นาที เพื่อให้น้ำมันซึมเข้าไปในผิวหนังได้มากที่สุด ทาวันละ 3 - 4 ครั้ง
  • นอนแช่น้ำอุ่นที่ผสมน้ำชาจากโรสแมรี่หรือลาเวนเดอร์ (แต่ห้ามใช้โรสแมรี่ในช่วง 3 เดือนแรกของการตั้งครรภ์)
  • ก่อนนอน ลองดื่มน้ำชาคาโมไมล์ เพื่อช่วยผ่อนคลายความเครียดได้เช่นกัน
ประคบร้อนบรรเทาปวด

   วิธีการประคบด้วยความร้อนจะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยกล้ามเนื้อคอได้ นอกจากจะช่วยให้กล้ามเนื้อคลายตัวและลดอาการปวดได้แล้ว ความร้อนยังทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณคอมากขึ้น จึงช่วยทำให้อาการปวดคอหายเร็วขึ้นได้ เริ่มจาก
  1. แช่ผ้าขนหนูลงในอ่างน้ำร้อน (ไม่ถึงกับเดือด) พับทบแล้วบิดหมาดๆ
  2. คลี่ผ้าออกวางพาดไหล่และคอหรือประคบตรงตำแหน่งที่ปวด คลุมด้วยผ้าแห้งอีกชั้น แล้วทิ้งไว้ประมาณ 15-20 นาที ทำวันละ 2-3 ครั้ง ทั้งนี้ วิธีดังกล่าวอาจเปลี่ยนมาใช้กระเป๋าน้ำร้อนแทนได้เช่นกัน
ท่าบริหารคออย่างง่าย

   บริหารคอตามขั้นตอนต่อไปนี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดเมื่อยคอได้ โดยนั่งให้สบายบนเก้าอี้ หายใจช้าๆ และสม่ำเสมอ ทำตามแต่ละท่าซ้ำ 6 รอบ ก่อนบริหารท่าถัดไป
  1. ก้มและเงยศีรษะ ค่อย ๆ ก้มหน้าให้คางจรดกับอก แล้วเงยกลับขึ้นช้าๆ ให้มากที่สุด
  2. ตะแคงซ้ายขวา หน้าตรงค่อยๆ ตะแคงซ้ายจนหูจรดไหล่ซ้าย โดยไม่ยกหรือเอียงไหล่ แล้วตะแคงขวาในลักษณะเดียวกัน
  3. หันหน้าซ้ายขวา หมุนศีรษะหันหน้าไปทางซ้ายช้า ๆ โดยให้ปลายคางอยู่ในแนวเดียวกับไหล่ แล้วหมุนกลับมาด้านขวาช้าๆ
   ที่สำคัญ ท่าบริหารคอทั้งสามท่านี้ ควรเริ่มต้นโดยเคลื่อนไหวช้าๆ และระมัดระวัง อย่าหักโหม และหากมีอาการปวดมากๆ ควรไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงและรักษาให้ถูกต้อง แล้วอาการปวดคอจะ ไม่เป็นเหตุทำให้คุณต้องเดินคอแข็งทั้งวันเหมือนนายวัฒน์กันอีกต่อไปค่ะ

แหล่งข้อมูล นิตยสารชีวจิตฉบับที่ 221